
ถ้าคุณไม่ใช่ผู้นำประเทศ ไม่ได้อยู่ในตำแหน่ง CEO ของบริษัทยักษ์ใหญ่ หรือไม่มีเสียงในเวทีโลก คุณคือ “คนธรรมดา” คนหนึ่งที่อาจรู้สึกว่า...ชีวิตเราไปไกลแค่ไหน ก็ยังถูกขับเคลื่อนด้วยสิ่งที่ตัวเองไม่ได้เลือก
ลองดูรอบตัว — ราคาน้ำมันผันผวนเพราะตะวันออกกลาง, เงินเฟ้อไทยดีดขึ้นตามการขึ้นดอกเบี้ยของสหรัฐฯ, หรือแม้แต่โซเชียลมีเดียที่เราใช้อยู่ทุกวัน ก็กำลังถูกควบคุมผ่านกฎหมายจากฝั่งตะวันตก
โลกกำลังเล็กลง แต่เสียงของคนเล็ก ๆ กลับเบาลงหรือเปล่า?
ใครกำหนดทิศทางโลก?
ประเทศมหาอำนาจ เช่น สหรัฐฯ จีน หรือสหภาพยุโรป มักมีบทบาทกำหนดมาตรฐานที่ประเทศอื่นต้องเดินตาม ไม่ว่าจะเป็นเรื่องการเงิน เทคโนโลยี หรือสิ่งแวดล้อม เช่น
-
เงินดอลลาร์ ยังเป็นศูนย์กลางของการค้าระหว่างประเทศ
-
TikTok ถูกแบน หรือถูกกำกับในหลายประเทศ เพราะประเด็นความมั่นคง
-
กฎหมายคุ้มครองข้อมูล (GDPR) ของสหภาพยุโรป กระทบถึงเว็บไซต์ไทย
ในหลายกรณี ประเทศเล็ก ๆ หรือประชาชนทั่วไปแทบไม่มีอำนาจต่อรอง ต้องปรับตัวตามกติกาที่คนอื่นเขียนไว้แล้ว
ชีวิตประจำวันของคนธรรมดาอยู่ภายใต้เกมใหญ่
เรื่องนี้ไม่ได้ไกลตัวอย่างที่คิด:
-
ทำไมแอปราคาอาหารขึ้น ทั้งที่เศรษฐกิจในประเทศยังไม่ฟื้น? บางทีต้นทางมาจากราคาพลังงานโลก
-
ทำไมบริษัทเล็ก ๆ ต้องยอมเปลี่ยนระบบให้เข้ากับข้อกำหนดของ Apple หรือ Google?
-
ทำไมเกษตรกรไทยต้องหาวิธีลดการปล่อยคาร์บอน ทั้งที่ไม่ได้เป็นต้นเหตุของภาวะโลกร้อน?
เรากำลังอยู่ในโลกที่การเปลี่ยนแปลงระดับมหภาคมากระทบเราแบบรายวัน โดยที่เราไม่มีที่นั่งในโต๊ะเจรจา
ยังมีช่องว่างให้เสียงเล็ก ๆ ไหม?
แม้คนธรรมดาจะไม่สามารถหยุดสงคราม หรือตรากฎหมายระดับโลกได้ แต่อำนาจแบบใหม่กำลังก่อตัวขึ้นในรูปของ “พลังเครือข่าย”
-
แคมเปญจากโซเชียลมีเดียเปลี่ยนนโยบายบริษัทใหญ่ได้ (เช่น กรณีหยุดโฆษณาบน Facebook เพื่อกดดันเรื่อง hate speech)
-
การรวมกลุ่มของผู้บริโภคสามารถบอยคอตสินค้าจนเกิดแรงสะเทือน
-
เทคโนโลยี Web3 และ DeFi เปิดช่องให้ผู้คนออกจากระบบการเงินดั้งเดิม
เสียงของคนธรรมดาอาจไม่ดังเท่าเสียงมหาอำนาจ แต่อาจกลายเป็น “กระแส” ที่เปลี่ยนโลกได้ หากรู้จักรวมพลังอย่างมีกลยุทธ์
บางที คำถามสำคัญไม่ใช่ว่า “เราจะหยุดโลกได้ไหม”
แต่เป็น “เราจะปรับตัวและมีที่ยืนในโลกนี้ได้อย่างไร”
และคำตอบนั้น อาจไม่ได้มาจากผู้มีอำนาจ แต่เริ่มจากคนธรรมดาที่กล้าตั้งคำถาม