
ประเทศไทยกำลังก้าวเข้าสู่ "สังคมผู้สูงอายุโดยสมบูรณ์" แต่สิ่งที่ตามมาไม่ใช่แค่เรื่องสุขภาพหรือคุณภาพชีวิตเท่านั้น ยังมีเรื่องสำคัญที่หลายคนอาจไม่ทันคิดถึง นั่นคือ “เงินหลังเกษียณ” ที่ไม่พอใช้
ผู้สูงอายุจำนวนมากที่เคยทำงานในระบบประกันสังคมมาตลอดชีวิต กลับต้องเผชิญความจริงว่าหลังเกษียณ พวกเขาได้รับเงินบำนาญหรือเงินชราภาพในระดับที่ไม่เพียงพอรองรับชีวิตประจำวัน บางคนได้รับเพียงเดือนละไม่กี่พันบาท ซึ่งไม่สอดคล้องกับค่าครองชีพที่สูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง
ประกันสังคม: กฎหมายเก่าในสังคมใหม่
ระบบประกันสังคมในไทยออกแบบมาในยุคที่คนไทยอายุขัยเฉลี่ยยังไม่เกิน 70 ปี แต่ปัจจุบันผู้สูงอายุหลายคนมีชีวิตยืนยาวเกิน 80 ปี ระบบที่ไม่ถูกปรับตามยุคสมัยจึงกลายเป็นกับดักทางการเงินโดยไม่ตั้งใจ
นอกจากนี้ สัดส่วนการจ่ายเงินสมทบและการคำนวณเงินบำนาญยังยึดตามเพดานค่าจ้างที่ไม่อัปเดต ทำให้ผู้ประกันตนได้ผลตอบแทนไม่สมน้ำสมเนื้อกับที่จ่ายเข้าไปทั้งชีวิตการทำงาน
ผู้สูงวัยถูกลืมในเชิงนโยบาย?
แม้จะมีการพูดถึง “เงินอุดหนุนผู้สูงอายุ” หรือเบี้ยยังชีพจากรัฐ แต่ก็เป็นเงินเพียง 600–1,000 บาทต่อเดือน และไม่มีหลักประกันว่าจะเพิ่มขึ้นตามค่าครองชีพ นโยบายด้านผู้สูงวัยส่วนมากจึงยังคงอยู่ในรูปแบบ “การสงเคราะห์” มากกว่าการวางระบบที่ยั่งยืน
แนวทางที่ควรถูกพูดถึง
-
การปรับสูตรคำนวณเงินบำนาญ ให้ยืดหยุ่นและสะท้อนต้นทุนชีวิตจริง
-
ส่งเสริมการออมเพิ่มนอกระบบ เช่น กองทุนการออมแห่งชาติ (กอช.) หรือกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ
-
ผลักดันนโยบายสวัสดิการแบบถ้วนหน้า สำหรับผู้สูงอายุ โดยไม่ขึ้นกับรายได้เดิมหรืออาชีพก่อนหน้า
เราไม่ควรรอให้ทุกคนแก่ตัวลงแล้วถึงจะรู้ว่า “เงินไม่พอ” เพราะนั่นคือการแก้ปัญหาที่สายเกินไป
เงินอาจไม่ใช่คำตอบทุกอย่างของชีวิต แต่สำหรับผู้สูงวัยที่อยู่ในช่วงชีวิตที่ไม่สามารถหาใหม่ได้เหมือนเดิม มันคือ “ความมั่นคง” และ “ศักดิ์ศรี” ที่เขาควรได้รับเหมือนที่เคยจ่ายเข้าสู่ระบบมาตลอดวัยทำงาน ลองคิดดูสิ... ถ้าคุณแก่ตัวไปในอนาคต แล้วระบบยังเหมือนเดิม คุณจะอยู่ยังไง?
เครดิตข้อมูล
- สำนักงานสถิติแห่งชาติ
- สำนักงานประกันสังคม
- กองทุนการออมแห่งชาติ (กอช.)
- มูลนิธิพัฒนาประชากรและชุมชน