
บางคนรอฤกษ์ดีเพื่อเปิดร้านใหม่ บางคนเลือกวันแต่งงานตามคำทำนาย และบางคนถึงขั้นเลื่อนเดินทางเพราะ “หมอดูบอกมา” คำถามคือ...ฤกษ์ดีมีจริงไหม หรือทั้งหมดเป็นเพียงเครื่องมือที่ทำให้เรารู้สึกมั่นใจขึ้นเฉย ๆ?
ฤกษ์ดีในความเชื่อของวัฒนธรรม
ในหลายวัฒนธรรม โดยเฉพาะของไทย จีน และอินเดีย แนวคิดเรื่อง “ฤกษ์งามยามดี” ฝังรากลึกมานาน ไม่ว่าจะเป็นการดูฤกษ์แต่งงาน ออกรถ เปิดกิจการ หรือแม้แต่ตั้งชื่อ หลัก ๆ มาจากความเชื่อว่า จังหวะของธรรมชาติ จักรวาล และพลังงานรอบตัว มีผลต่อชีวิตมนุษย์ เช่น ในโหราศาสตร์ไทย “ฤกษ์บน-ฤกษ์ล่าง” มาจากการคำนวณตำแหน่งดาวและวันเวลา ขณะที่ในศาสตร์จีนอย่างปฏิทินฮวงจุ้ย จะใช้หลักธาตุและพลังหยินหยางในการกำหนดฤกษ์
แล้ววิทยาศาสตร์พูดว่าอย่างไร?
จนถึงปัจจุบัน ยังไม่มีหลักฐานทางวิทยาศาสตร์ที่ชี้ชัดว่าการเลือกฤกษ์มีผลต่อความสำเร็จของเหตุการณ์จริง ๆ แต่สิ่งที่พิสูจน์ได้คือ "ความรู้สึกมั่นใจ" ของผู้กระทำ ซึ่งส่งผลต่อการตัดสินใจ และการแสดงออก
ในเชิงจิตวิทยา นี่คือผลของ “Placebo Effect” — เหมือนเรากินยาน้ำเปล่า แต่เชื่อว่ารักษาโรคได้ จึงทำให้อาการดีขึ้น เพราะสมองเชื่อไปแล้วว่าเราจะดีขึ้น เช่นเดียวกันกับการเริ่มต้นสิ่งใหม่ในวันที่เราคิดว่าดี
ฤกษ์ดีจึงไม่ใช่เรื่องไร้เหตุผลเสมอไป
แม้ไม่มีหลักฐานเชิงวิทยาศาสตร์มาอธิบาย แต่การใช้ฤกษ์ดีอาจมีผลทางอ้อมหลายอย่าง เช่น
-
ช่วยให้มีเป้าหมายชัดขึ้น: การกำหนดวันสำคัญ ช่วยให้เราวางแผน เตรียมตัว และมีเส้นตายในการเริ่มต้น
-
สร้างแรงสนับสนุนจากคนรอบข้าง: โดยเฉพาะในครอบครัวที่ให้ความสำคัญกับความเชื่อเหล่านี้
-
ลดความกังวล: เหมือนมี "เกราะ" คุ้มกันใจในเวลาที่เราต้องตัดสินใจบางอย่าง
เส้นบาง ๆ ระหว่าง “ความเชื่อ” กับ “การพึ่งพา”
อย่างไรก็ตาม สิ่งที่ควรระวังคือการยึดติดจนไม่กล้าทำอะไร หากไม่มีฤกษ์ดี หรือกลัวว่าจะผิดพลาดหากไม่ทำตาม “ที่เขาบอก” เพราะบางครั้ง การลงมือทำทันที อาจสำคัญกว่าการรอวันดีที่ยังมาไม่ถึง
ฤกษ์ดีอาจไม่ได้เปลี่ยนโชคชะตา แต่เปลี่ยน “ใจเรา” ที่พร้อมจะลุกขึ้นทำอะไรบางอย่างได้เต็มที่มากขึ้น — และบางที แค่นั้นก็เพียงพอแล้วที่จะทำให้สิ่งดี ๆ เกิดขึ้น