
ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา “แร่หายาก” (Rare Earth Elements) กลายเป็นคำที่ปรากฏอยู่ในข่าวเศรษฐกิจและเทคโนโลยีบ่อยขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ — โดยเฉพาะในบริบทของความสัมพันธ์ระหว่างจีนกับสหรัฐฯ
ล่าสุด ทั้งสองประเทศประกาศ “บรรลุข้อตกลง” ว่าด้วยการจัดเก็บภาษีและการควบคุมการส่งออกแร่หายาก ซึ่งถือเป็นหนึ่งในสัญญาณสำคัญของการคลี่คลายความตึงเครียดทางการค้าบางส่วน โดยเนื้อหาข้อตกลงระบุว่า จะมีการกำหนดภาษีในอัตราที่ “เอื้อต่อการรักษาเสถียรภาพของห่วงโซ่อุปทานโลก” และเน้นย้ำความร่วมมือในด้านความโปร่งใสของข้อมูลการผลิต
ทำไมแร่หายากถึงสำคัญนัก?
แร่เหล่านี้คือวัตถุดิบสำคัญในการผลิตชิป เซ็นเซอร์ กล้องในสมาร์ตโฟน แบตเตอรี่ และแม้แต่ในอาวุธไฮเทค หนึ่งในเหตุผลที่ทำให้จีนมีอิทธิพลในห่วงโซ่อุปทานโลกคือการควบคุมเหมืองแร่และกระบวนการสกัดที่ประเทศอื่นไม่สามารถแข่งขันได้ง่าย
ก่อนหน้านี้ สหรัฐพยายามลดการพึ่งพาแร่หายากจากจีน โดยสนับสนุนเหมืองภายในประเทศและการนำเข้าจากพันธมิตร เช่น ออสเตรเลีย และเวียดนาม แต่ความเป็นจริงคือ จีนยังคงมีบทบาทสำคัญในกระบวนการผลิตระดับ downstream เช่น การแยกสกัดและการผลิตส่วนประกอบขั้นสูง
แล้วข้อตกลงนี้เปลี่ยนอะไร?
ข้อตกลงนี้นอกจากจะลดความกังวลต่อการถูก “ใช้อำนาจทางการค้า” แล้ว ยังช่วยเปิดโอกาสให้ทั้งสองประเทศกลับมาเน้น “เกมเศรษฐกิจ” แทนเกมกีดกัน อุตสาหกรรมไฮเทค เช่น รถยนต์ไฟฟ้า อุปกรณ์พลังงานสะอาด และ AI ก็จะมีแนวโน้มเติบโตโดยไม่ถูกสะกัดจากสงครามภาษีระลอกใหม่
อย่างไรก็ตาม ยังไม่มีรายละเอียดว่าข้อตกลงนี้จะครอบคลุมไปถึงแร่หายากระดับพิเศษ เช่น Dysprosium หรือ Terbium ซึ่งใช้ในการผลิตมอเตอร์แม่เหล็กถาวร หรือไม่
ในระยะยาว ใครได้เปรียบ?
แม้จะดูเหมือนว่าข้อตกลงครั้งนี้คือการประนีประนอม แต่ในเชิงยุทธศาสตร์ สหรัฐฯ ก็ยังเดินหน้าเสริมสร้างแหล่งผลิตนอกจีนอยู่ดี เช่นเดียวกับจีนที่เร่งพัฒนาอุตสาหกรรมในประเทศอย่างเข้มข้น เพื่อลดความเสี่ยงจากแรงกดดันภายนอก
บางครั้ง สิ่งที่ดูเหมือน “ดีล” อาจเป็นแค่การหยุดพักชั่วคราวของเกมระยะยาว
เมื่อโลกไม่สามารถแยก “เทคโนโลยี” ออกจาก “ภูมิรัฐศาสตร์” ได้อีกต่อไป — การจับตามองแร่หายากจึงไม่ใช่แค่เรื่องของวัตถุดิบ แต่มันคือการอ่านเกมอนาคตที่อาจเปลี่ยนหน้าประวัติศาสตร์เศรษฐกิจโลก
แหล่งข้อมูลอ้างอิง:
- U.S. Geological Survey: Rare Earth Elements—Critical Resources for High Technology
- OECD Trade Policy Paper No. 212: Global Value Chains and the Role of Minerals