
Soft power ไม่ใช่แค่เรื่องการโชว์ความเป็นไทย แต่คือการ "เชื่อมต่อ" กับใจผู้คนทั่วโลกโดยไม่ต้องบังคับ ถ้ามองรอบ ๆ ตัว เราจะเห็นเกาหลีใต้ใช้ K-pop, K-drama, และแม้กระทั่งเมนูอาหาร เป็นพาหนะส่งออกความนิยมได้อย่างทรงพลัง ทั้งที่จริง ๆ แล้ว จุดเริ่มต้นของเกาหลีก็ไม่ต่างจากไทยเลยด้วยซ้ำ
คำถามคือ — แล้วทำไม Soft power ไทย ยังไม่ถึงไหน?
หนึ่งในคำตอบคือ “เรายังเล่าเรื่องเดิม ด้วยวิธีเดิม”
ลองดูรายการวัฒนธรรมไทยหลายรายการที่ผลิตในช่วงสิบปีที่ผ่านมา — เครื่องแต่งกายประจำชาติ เพลงพื้นบ้าน อาหารไทยแบบดั้งเดิม ทั้งหมดคือความภูมิใจ แต่การเล่าเรื่องยังวนอยู่ในกรอบ “อนุรักษ์นิยม” มากกว่าสร้างแรงบันดาลใจ
โลกไม่ได้อยากรู้ว่าเรามีอะไร แต่อยากรู้ว่า “เราทำอะไรกับสิ่งนั้นได้บ้าง”
Soft power สมัยนี้ไม่ได้แข่งขันกันที่วัฒนธรรมใครเก่ากว่า แต่คือ ใครเอาวัฒนธรรมมาผสมกับความคิดสร้างสรรค์ได้มากกว่า เช่น การที่เกาหลีทำให้เพลงแนว Street ถูกผสานกับท่าเต้นพื้นบ้านได้ หรือญี่ปุ่นทำให้ชุดกิโมโนกลายเป็นแฟชั่นร่วมสมัยในคอลเลกชันระดับโลก
ในทางกลับกัน ลองนึกถึงคอนเทนต์ไทยในสายตาต่างชาติ — พอพูดถึงไทยก็จะนึกถึง “อาหารไทย-รอยยิ้ม-ชายหาด” นี่คือสิ่งที่เรายังวนเวียนขายซ้ำมาหลายสิบปี
ทั้งที่จริงแล้วไทยมีอะไรน่าสนใจอีกเยอะ เช่น…
-
คนรุ่นใหม่ในชนบทที่เริ่มผลิตแบรนด์เครื่องหอมไทยขายเอง
-
การแร็ปผสมภาษาถิ่นที่สะท้อนสังคมได้แสบคันแบบมีสไตล์
-
การออกแบบหนังสั้นจากนิสิตไทยที่คว้ารางวัลในยุโรป
สิ่งเหล่านี้ต่างหากที่ควรถูก “ส่งออก” และ “เล่าให้โลกรู้” ด้วยมุมมองใหม่
สิ่งที่ Soft power ไทยต้องการไม่ใช่แค่เงินสนับสนุนจากรัฐ แต่คือ พื้นที่ปลอดภัยให้คนรุ่นใหม่ได้ทดลองทำสิ่งใหม่ ๆ โดยไม่ต้องกลัวว่า ‘ไม่ไทยพอ’