
การปะทะกันทางการทูตหรือประเด็นขัดแย้งบริเวณชายแดนไทย–กัมพูชาอาจไม่ใช่เรื่องใหม่สำหรับหลายคน แต่ทำไมเรื่องนี้จึงวนกลับมาเป็นข่าวอีกครั้งในปี 2568 ทั้งที่ดูเหมือนว่าทุกอย่างจะสงบลงไปแล้ว?
รอยต่อทางประวัติศาสตร์ที่ยังค้างคา
ความสัมพันธ์ระหว่างไทยกับกัมพูชามีรากฐานยาวนาน ทั้งในแง่วัฒนธรรม ศาสนา และการปกครอง แต่ในขณะเดียวกัน ก็เต็มไปด้วยประวัติศาสตร์ของการสู้รบ การเปลี่ยนแปลงเขตแดน และการตีความแผนที่ไม่ตรงกัน โดยเฉพาะประเด็นที่ดินบริเวณรอบปราสาทพระวิหาร ที่แม้จะมีคำตัดสินจากศาลยุติธรรมระหว่างประเทศ (ICJ) แล้ว แต่การตีความรายละเอียดและการกำหนด "เขตแดนโดยรอบ" ก็ยังเป็นที่ถกเถียง
จังหวะการเมืองภายในที่มีผลต่อท่าทีระหว่างประเทศ
ในบางกรณี ความตึงเครียดชายแดนไม่ได้เกิดจากความขัดแย้งในระดับรากฐาน แต่เกิดจากปัจจัยภายในของแต่ละประเทศ เช่น การเมืองภายในของกัมพูชาที่ต้องการสร้างกระแสชาตินิยม หรือแรงกดดันจากกลุ่มต่าง ๆ ภายในไทยที่หยิบประเด็นนี้ขึ้นมาเพื่อสร้างกระแส
ภูมิรัฐศาสตร์ยุคใหม่กับแรงกดดันจากภายนอก
อย่าลืมว่าไทยและกัมพูชาไม่ได้อยู่ในสุญญากาศ โลกในยุคปัจจุบันเต็มไปด้วยการขับเคี่ยวของอำนาจระหว่างประเทศ เช่น จีนและสหรัฐฯ ที่ต่างก็มีบทบาทในภูมิภาคอาเซียน เมื่อมีการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานใหม่ หรือความพยายามตั้งฐานทัพเรือในจุดยุทธศาสตร์บางแห่ง แรงสะเทือนย่อมกระทบกับดุลอำนาจชายแดนที่เปราะบางเหล่านี้ด้วย
ทำไมเราควรสนใจ?
เพราะข้อพิพาทชายแดนไม่ใช่แค่เรื่องของ “เส้นบนแผนที่” แต่มันเชื่อมโยงกับชีวิตของคนท้องถิ่น การค้า การลงทุน ความมั่นคง และความสัมพันธ์ระยะยาวระหว่างประเทศเพื่อนบ้าน การเข้าใจรากของความขัดแย้งจึงเป็นสิ่งสำคัญ ก่อนที่เราจะตัดสินจากข่าวพาดหัวเพียงไม่กี่บรรทัด
อาจถึงเวลาที่เราควรมอง "พรมแดน" ไม่ใช่แค่เส้นแบ่ง แต่คือพื้นที่ของโอกาส ความร่วมมือ และการสร้างความเข้าใจ ถ้าเรายังติดกับดักในความคิดแบบเดิม อนาคตของภูมิภาคนี้อาจไม่ไปไกลกว่าความขัดแย้งในอดีต
แหล่งข้อมูลอ้างอิง:
- คำพิพากษาศาลยุติธรรมระหว่างประเทศ (ICJ, 2013)
- รายงานวิชาการจากมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ เรื่อง "ข้อพิพาทชายแดนไทย–กัมพูชาในบริบทภูมิรัฐศาสตร์"
- เอกสารจาก UNESCO เกี่ยวกับพื้นที่มรดกโลกบริเวณปราสาทพระวิหาร