
ทองคำถูกยกให้เป็นสัญลักษณ์ของความมั่งคั่ง และเป็นสินทรัพย์ปลอดภัยในยามวิกฤติ แต่หากเรามองให้ลึกกว่าแผ่นทอง 96.5% ที่ตั้งโชว์อยู่ในร้านทอง เราอาจพบว่าเบื้องหลังแวววับนั้นเต็มไปด้วยโครงสร้างอำนาจ ที่ประชาชนทั่วไปไม่เคยตั้งคำถาม
ในอดีต ทองคำเคยเป็นเงิน และเงินเคยต้องมีทองคำหนุนหลัง แต่หลังจากโลกเปลี่ยนมาใช้ “เงินกระดาษ” รัฐกลับควบคุมทองไว้อย่างเข้มงวดเพื่อเป็นหลักประกันของระบบเงินตรา จึงเกิดช่องว่างที่ชัดเจนระหว่างสองกลุ่ม
กลุ่มหนึ่งคือคนทั่วไป
ซื้อตามกระแส ราคาขึ้นก็แห่ซื้อ ราคาลงก็รีบขาย
ทองคือการเก็งกำไร ไม่ใช่การบริหารความมั่งคั่งระยะยาว
อีกกลุ่มหนึ่งคือรัฐและสถาบันการเงิน
ถือทองเพื่อต่อรองศักดิ์ศรีค่าเงิน
ถือทองเพื่อสร้างอำนาจ
และถือทองมากกว่าประชาชนหลายร้อยเท่า
จึงไม่น่าแปลกที่รัฐจะไม่เปิดให้ทองเคลื่อนย้ายได้อย่างเสรี
ทองคำ 1 กิโลกรัมที่หลุดออกนอกประเทศ
ไม่ใช่เงินหาย
แต่คือ “อำนาจ” ที่รัฐเสียไป
แม้ประชาชนถูกสอนให้เชื่อว่า การถือทองคือการป้องกันเงินเฟ้อ
แต่ความจริงคือเรายังต้อง เปลี่ยนทองเป็นเงินสดก่อนเสมอ หากต้องการใช้ซื้อของ
ทองจึงไม่ใช่หน่วยความมั่งคั่งเต็มรูปแบบ
แต่เป็นเพียง “วัตถุที่ต้องแปลงกลับเป็นเงินในระบบเดิม”
ทองคำสากลจริงหรือ?
ถ้าใช่ ทำไมต้องมีภาษี ตรวจสอบ และข้อจำกัดสารพัด?
เกมราคาที่คนส่วนใหญ่ไม่รู้ตัว
เมื่อราคาทองสูงขึ้น
ประชาชนแห่ซื้อ
เงินจึงไหลเข้าสู่ตลาดทองอย่างมหาศาล
และถ้าวันหนึ่งที่ “ทุนใหญ่” กดราคาลง
ใครที่ติดคำว่า “ทองไม่มีวันขาดทุน” ก็จะติดหล่มราคาโดยไม่รู้ตัว
นี่จึงเป็นเหตุผลว่า
ใครควบคุมวาทกรรมเรื่องความปลอดภัยของทอง… คนนั้นควบคุมกระเป๋าสตางค์ประชาชน
ความมั่งคั่งที่แท้จริง อาจไม่ได้อยู่ที่ทอง
แต่คือความยืดหยุ่นในการถือสินทรัพย์หลายแบบ
เพื่อขยับตัวได้ทุกสถานการณ์
ไม่ใช่การเดิมพันอนาคตกับวัตถุสีน้ำทองชนิดเดียว
ทองมีประโยชน์แน่
แต่คำถามที่สำคัญกว่าคือ:
มีประโยชน์ต่อใครมากที่สุด?












