
เมื่อข้าวจานหนึ่งอาจทำให้เด็กคนหนึ่งต้องหยุดเรียน
ของแพงขึ้นทุกปี เราอาจบ่นกันจนชิน แต่กับครอบครัวที่มีรายได้น้อย รายจ่ายแค่ “เพิ่มวันละสิบบาท” ก็กลายเป็นภาระที่ผลักให้ลูกหลานออกจากระบบการศึกษาได้โดยไม่ตั้งใจ
ลองนึกภาพเด็กประถมที่เคยได้ค่าขนมวันละ 20 บาท — วันนี้อาจเหลือแค่ 10 บาท หรือไม่มีเลย เพราะครอบครัวต้องตัดทอนค่าใช้จ่ายจากราคาข้าวของที่พุ่งขึ้นทั้งกระดาษ ปากกา สมุดเรียน ไปจนถึงค่าเดินทางไปโรงเรียน
การศึกษาไม่ฟรีอย่างที่คิด
แม้โรงเรียนรัฐจะไม่มีค่าเล่าเรียน แต่ “ค่าใช้จ่ายแฝง” ยังคงอยู่ ทั้งค่าเครื่องแบบ ค่าอุปกรณ์ ค่าอาหารกลางวัน และกิจกรรมนอกห้องเรียน ล้วนเป็นสิ่งจำเป็นที่ถ้าขาด ก็อาจหมายถึง “เด็กคนนั้นเข้าร่วมไม่ได้” — และรู้สึกแยกออกจากกลุ่มอย่างช้า ๆ
ผลกระทบนี้ไม่ใช่แค่ทางกายภาพ แต่มันกัดกร่อน “ความมั่นใจในตัวเอง” ของเด็กไปด้วย
เด็กต้องรับผลจากปัญหาเชิงโครงสร้าง
ของแพงไม่ได้เป็นแค่ปัญหาส่วนตัวของพ่อแม่ แต่เป็นผลลัพธ์จากโครงสร้างเศรษฐกิจทั้งระบบ เช่น ค่าแรงที่ไม่ปรับขึ้นตามเงินเฟ้อ นโยบายราคาสินค้าที่เอื้อต่อผู้ผลิตมากกว่าผู้บริโภค หรือความเหลื่อมล้ำเชิงพื้นที่ที่ทำให้เด็กในต่างจังหวัดมีต้นทุนชีวิตสูงกว่าโดยปริยาย ระบบสวัสดิการที่ไม่ครอบคลุม หรือเข้าถึงยาก ก็ยิ่งตอกย้ำความเหลื่อมล้ำนี้ให้ชัดเจนขึ้น
เมื่อราคาสินค้าคือราคาของโอกาส
เด็กที่ต้องช่วยพ่อแม่ขายของตั้งแต่เช้า เด็กที่ต้องลางานไปทำงานพาร์ทไทม์หลังเลิกเรียน หรือแม้แต่เด็กที่เลือกจะไม่เรียนต่อ เพราะรู้ว่าไม่มีเงิน — ล้วนเป็นผลลัพธ์จากเรื่องที่ดูเหมือนไม่เกี่ยวกันอย่าง “ของแพง”
ยิ่งนานวัน โอกาสที่หายไปก็ยิ่งกลายเป็นความเหลื่อมล้ำระยะยาวในตลาดแรงงาน สังคม และคุณภาพชีวิตโดยรวมของประเทศ
เรื่องนี้ไม่ได้ไกลตัวอย่างที่คิด
บางทีการช่วยเด็กไทยอาจไม่ได้เริ่มที่การบริจาค หรือสร้างโรงเรียนใหม่ แต่เริ่มจากการตั้งคำถามกับระบบเศรษฐกิจที่ทำให้ครอบครัวหนึ่งต้องเลือกระหว่าง “ซื้อกับข้าว” กับ “ซื้อสมุดให้ลูก”
ถ้าเราเข้าใจจุดเชื่อมระหว่างราคาสินค้า กับอนาคตของคนรุ่นใหม่ เราอาจมองเห็นทางออกที่ไม่ได้อยู่แค่ในห้องเรียน แต่อยู่ในนโยบาย สวัสดิการ และการสร้างโครงสร้างที่เป็นธรรมกว่านี้