
เมื่อไม่กี่ปีที่ผ่านมา คำว่า “กัญชาเสรี” เคยเป็นกระแสใหญ่ของสังคมไทย นับตั้งแต่มีการปลดล็อกกัญชาออกจากบัญชียาเสพติดให้โทษเมื่อปี 2565 ภาพของร้านขายกัญชาทั่วเมือง คาเฟ่แนวชิล ๆ และคนรุ่นใหม่ที่พูดถึงคุณค่าทางสุขภาพ กลายเป็นสิ่งที่พบเห็นได้ทั่วไป แต่ภาพเหล่านั้นกำลังจะเปลี่ยน...
รัฐบาลชุดปัจจุบันมีแนวโน้มชัดเจนว่าจะผลักดันให้ “กัญชา” กลับสู่สถานะของ “สมุนไพรควบคุม” ที่ต้องใช้ภายใต้กรอบทางการแพทย์เท่านั้น ไม่ใช่สินค้าอุปโภคบริโภคทั่วไปอีกต่อไป
ทำไมต้อง “ถอยกลับ”?
หลายฝ่ายให้เหตุผลว่า การเปิดเสรีกัญชาแบบไม่มีกรอบควบคุมชัดเจน ได้นำไปสู่ปัญหาใหม่ เช่น การเข้าถึงของเยาวชน การใช้เพื่อสันทนาการโดยไม่มีความเข้าใจ และธุรกิจที่เติบโตไวเกินกว่าระบบจะตามทัน
แม้จะมีเจตนาเริ่มต้นที่ดีในการส่งเสริมการแพทย์ทางเลือก แต่การปล่อยให้กัญชาหลุดจากระบบการแพทย์โดยสิ้นเชิง กลับทำให้เกิดช่องว่างระหว่างกฎหมายกับความเป็นจริงของการใช้ในชีวิตประจำวัน
แล้วอนาคตจะเป็นอย่างไร?
แนวทางใหม่ที่ถูกพูดถึงคือการ “ควบคุมการใช้กัญชาในลักษณะเดียวกับยาแผนปัจจุบัน” กล่าวคือ ใครจะใช้ต้องมีเหตุผลทางการแพทย์ มีใบรับรองจากแพทย์ หรือได้รับคำแนะนำจากผู้เชี่ยวชาญด้านสุขภาพเท่านั้น
หากมาตรการนี้เดินหน้า ร้านค้ากัญชาที่ไม่ได้จดทะเบียนในลักษณะทางการแพทย์อาจต้องปิดตัว หรือเปลี่ยนรูปแบบธุรกิจไปอย่างสิ้นเชิง
แล้วประชาชนล่ะ? ยังเข้าถึงได้อยู่ไหม?
คำตอบคือ “เข้าถึงได้...แต่ไม่ง่ายเหมือนเดิม” ประชาชนที่มีความจำเป็นในการใช้กัญชาทางการแพทย์ เช่น บรรเทาอาการเจ็บป่วยเรื้อรัง นอนไม่หลับ หรือช่วยคลายความวิตกกังวล ยังสามารถใช้ได้ แต่ต้องมีขั้นตอนรองรับ เช่น ใบสั่งแพทย์ ใบรับรอง หรือเข้าสู่ระบบการรักษาที่มีการติดตามผล
บทบาทของรัฐควรเป็นอะไร?
สิ่งที่สำคัญไม่ใช่แค่การควบคุม แต่ต้องมีระบบให้ความรู้ และดูแลคนที่มีความจำเป็นในการใช้จริง โดยไม่ให้คนเหล่านี้ตกหล่นหรือเข้าไม่ถึง เพราะ “กัญชา” ไม่ใช่แค่พืชเศรษฐกิจ หรือของฟุ่มเฟือย มันคือโอกาสทางสุขภาพของใครหลายคน
การถอยกลับเข้าสู่ระบบแพทย์ อาจเป็น “ทางเดินที่รัดกุม” มากขึ้น แต่มันก็นำมาซึ่งความชัดเจนและรับผิดชอบกว่าเดิม
คำถามคือ สังคมไทยพร้อมจะเปลี่ยนวิธีมองกัญชา...จากเสรีไปสู่สมดุลหรือยัง?