
จาก “ยืดหยุ่นพิเศษ” สู่ “ต้องมีกรอบที่ชัด”
เมื่อประเทศไทยประกาศปลดล็อกกัญชาออกจากบัญชียาเสพติดในปี 2565 โลกหันมาจับตาอย่างใกล้ชิด นี่คือประเทศแรกในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ที่ยอมให้พืชกัญชาถูกใช้ในระดับเสรีภายใต้กรอบทางกฎหมายที่ (ยัง) ไม่สมบูรณ์เต็มที่ หลายฝ่ายคาดหวังว่าจะเป็น “กรณีศึกษา” ที่ทั้งกล้าหาญและเปราะบางในเวลาเดียวกัน
ความคาดหวัง: สุขภาพหรือเศรษฐกิจ?
ผู้สนับสนุนชี้ว่ากัญชาจะช่วยเสริมเศรษฐกิจฐานราก สร้างรายได้แก่เกษตรกร และขยายทางเลือกในการรักษาโรค ส่วนฝ่ายกังวลย้ำว่า การควบคุมที่ไม่เข้มแข็งอาจนำไปสู่ปัญหาเยาวชนและสาธารณสุขในระยะยาว
คุณภาพกัญชา = คุณภาพนโยบาย
กัญชาเป็นพืชที่ “ต้องการระเบียบ” มากกว่าที่คิด ไม่ใช่แค่ควบคุมสาร THC หรือ CBD แต่รวมถึงกระบวนการเพาะปลูก การเก็บเกี่ยว การแปรรูป และการนำเสนอขายในตลาด
ระบบทดสอบมาตรฐาน: ยังไม่ทั่วถึง
ปัญหาหนึ่งที่เกิดขึ้นในไทยคือการขาดระบบตรวจสอบคุณภาพที่ชัดเจนและเป็นมาตรฐานเดียวกัน บางร้านมีการปลอมปน บางพื้นที่ปลูกแบบไม่มีการควบคุมสารพิษหรือเชื้อรา ขณะที่ประเทศอย่างแคนาดาและเยอรมนีมีระบบห้องแล็บตรวจวิเคราะห์ทุกล็อตก่อนขึ้นชั้นวางขาย
ข้อมูลไม่เท่ากัน = ความเสี่ยงที่ไม่เท่าเทียม
ผู้บริโภคจำนวนไม่น้อยยังไม่เข้าใจวิธีเลือกซื้อกัญชาอย่างปลอดภัย ไม่รู้จักสายพันธุ์ สารออกฤทธิ์ หรือผลข้างเคียงที่แตกต่างกัน นี่คือช่องว่างของ “การรู้เท่าทัน” ที่ยังไม่มีใครอุดเต็ม
บทเรียนจาก “ไทยแลนด์โมเดล” สู่โลกภายนอก
แม้นโยบายกัญชาในไทยจะยังอยู่ในช่วงทดลองและมีเสียงวิจารณ์มากมาย แต่มันก็สร้างบทเรียนสำคัญให้กับประเทศอื่น ๆ ที่กำลังพิจารณาเดินเส้นทางนี้
ความกล้า = จุดเริ่มต้นของการเรียนรู้
สิ่งที่ไทยแสดงให้โลกเห็นคือ “การกล้าเปิดประตู” ซึ่งต่างจากหลายประเทศที่ยังกลัวภาพลักษณ์ทางสังคม ไทยเลือกให้ประชาชนได้ทดลองและเรียนรู้ แม้จะสะดุดบ้าง แต่ก็เริ่มมีเวทีถกเถียงที่เปิดกว้างขึ้น
ระบบที่ดี = ยั่งยืน
ประเทศที่จะเดินตามต้องเข้าใจว่า “การปลดล็อก” ไม่ใช่แค่เรื่องกฎหมาย แต่คือการสร้างระบบควบคุม-ติดตาม-ให้ความรู้ที่ไปพร้อมกัน ไม่เช่นนั้นอาจกลายเป็นระเบิดเวลาที่สังคมแบกรับไม่ไหว
บางที...ความเสรีที่แท้จริงอาจไม่ใช่การปล่อยให้ทุกอย่างเป็นไป แต่คือการ “ออกแบบความเสรี” ให้สังคมอยู่ร่วมกับมันได้อย่างปลอดภัยและมีสติ และนั่นคือบทสนทนาที่นโยบายกัญชา 2.0 กำลังชวนให้เราคิดต่อ