
เมื่อเสน่ห์กลายเป็นเป้า
Soft Power คือพลังที่ไม่ต้องใช้อาวุธ แต่เข้าถึงใจคนทั่วโลกได้ เช่น อาหาร เพลง ภาพยนตร์ หรือวัฒนธรรมที่ส่งออกไปโดยไม่มีการบังคับ และนั่นทำให้หลายประเทศ—including ไทย—มองว่าเป็นโอกาสทองในการผลักดันอัตลักษณ์ของตัวเองสู่เวทีโลก
แต่เมื่อเกิด “Soft Ban” หรือการกีดกันแบบเงียบ เช่น การไม่โปรโมต การจำกัดการแสดงออก หรือแม้แต่การแบนเนื้อหาโดยไม่บอกเหตุผล มันก็เหมือนการดึงเบรกในขณะที่วัฒนธรรมกำลังเร่งเครื่อง
Soft Ban คืออะไรในทางปฏิบัติ
ในหลายกรณี Soft Ban ไม่ได้มาจากกฎหมายหรือคำสั่งชัดเจน แต่เกิดจากนโยบายที่ ‘ไม่เขียนไว้’ เช่น:
-
แพลตฟอร์มต่างประเทศไม่ดันเนื้อหาไทยขึ้นหน้าแรก
-
การแสดงบางประเภทถูกระงับโดยไม่มีการชี้แจง
-
ศิลปินจากประเทศหนึ่งไม่ได้รับเชิญในงานนานาชาติ ทั้งที่มีผลงานโดดเด่น
สิ่งเหล่านี้กระทบโดยตรงต่อการใช้ Soft Power ของประเทศนั้น ๆ และบางครั้งก็เกิดในบริบทที่ละเอียดอ่อน เช่น ความตึงเครียดทางการเมือง หรือความขัดแย้งเชิงวัฒนธรรม
เกมที่ไม่มีใครพูดถึงตรง ๆ
ในโลกที่การเมืองระหว่างประเทศเต็มไปด้วยความละเอียดอ่อน Soft Ban กลายเป็นเครื่องมือทางการทูตที่ไม่ต้องส่งสารใด ๆ ออกมาอย่างเป็นทางการ แต่ทรงพลังพอจะส่งสาร ‘ทางอ้อม’ ได้ชัดเจน
ตัวอย่างหนึ่งคือการที่ซีรีส์หรือรายการจากประเทศหนึ่งถูกถอดออกจากแพลตฟอร์มโดยไม่อธิบาย สะท้อนความสัมพันธ์ที่อาจมีรอยร้าว ซึ่งไม่ใช่แค่เรื่องของวัฒนธรรม แต่ลึกไปถึงระดับภูมิรัฐศาสตร์ (geopolitics)
แล้วควร ‘ตอบโต้’ หรือ ‘อดทน’?
การตอบโต้ทันทีอาจทำให้สถานการณ์รุนแรงขึ้น โดยเฉพาะในระบบที่อ่อนไหวต่อภาพลักษณ์ ขณะที่การอดทนมากเกินไปก็อาจทำให้ Soft Power ถูกลดทอนคุณค่าโดยไม่รู้ตัว
หลายประเทศเลือกใช้ “Counter Soft Power” เช่น:
-
ผลิตคอนเทนต์ที่เน้นความร่วมมือแทนการแข่งขัน
-
ดึงพันธมิตรร่วมทุนสร้างสื่อร่วม
-
ใช้ผู้บริโภคทั่วโลกเป็นกระบอกเสียง แทนที่จะเผชิญหน้าแบบรัฐต่อรัฐ
ทางรอดอาจไม่ใช่การ “ชน” แต่คือการ “ยืน”
ในยุคที่ใคร ๆ ก็สร้างวัฒนธรรมส่งออกได้ สิ่งสำคัญอาจไม่ใช่การต่อสู้ให้ชนะ แต่คือการรักษาเสน่ห์และความจริงใจของวัฒนธรรมไว้ให้ได้ แม้จะถูกเบี่ยงกระแสบ้างในบางช่วง Soft Power ที่แท้จริงอาจไม่ใช่การบุกทะลวง แต่คือความต่อเนื่องที่ไม่เลือนหาย