
ลองนึกภาพการเรียนออนไลน์ที่ไม่มีอุปกรณ์ หางานไม่ได้เพราะไม่มีอีเมล หรือแม้แต่การเข้ารับบริการจากรัฐที่ต้องใช้แอปบนมือถือ — เหล่านี้คือความเหลื่อมล้ำที่ไม่ใช่แค่เรื่อง "เครื่องมือ" แต่คือ "สิทธิในการมีชีวิต"
ความจนดิจิทัล (Digital Poverty) หมายถึงการที่บุคคลหรือกลุ่มคนขาดโอกาสในการเข้าถึงเทคโนโลยีพื้นฐาน เช่น อินเทอร์เน็ต สมาร์ตโฟน คอมพิวเตอร์ รวมไปถึงความรู้ในการใช้งาน ซึ่งกลายเป็นอุปสรรคในการเข้าถึงข้อมูล การศึกษา สุขภาพ การเงิน และบริการต่าง ๆ
ตัวอย่างในชีวิตจริง
- เด็กบางคนในพื้นที่ชนบทต้องขึ้นเขาเพื่อหาสัญญาณอินเทอร์เน็ต
- ผู้สูงอายุจำนวนไม่น้อยไม่สามารถเข้าถึงเงินช่วยเหลือรัฐ เพราะไม่มีแอปพลิเคชัน
- คนว่างงานไม่สามารถสมัครงานที่ใช้ระบบออนไลน์ทั้งหมดได้
พอไม่มีอุปกรณ์ = เข้าไม่ถึงโอกาส
พอไม่มีความรู้ = ใช้เทคโนโลยีไม่ได้
พอไม่มีอินเทอร์เน็ต = ขาดสิทธิพื้นฐานในโลกปัจจุบัน
ยิ่งสังคมก้าวไปข้างหน้าอย่างรวดเร็วเท่าไร คนที่ยัง “ยืนอยู่หน้าประตูดิจิทัล” ยิ่งถูกทิ้งห่างมากขึ้นเท่านั้น
ไม่ใช่แค่เรื่องของ “ของ” แต่คือเรื่องของ “สิทธิ”
ถ้ารัฐบาลเปิดให้ลงทะเบียนสวัสดิการผ่านมือถือ แต่ไม่มีทางเลือกอื่น คนที่ไม่มีมือถือคือคนที่ไม่มีสิทธิ
ถ้าโรงเรียนจัดเรียนออนไลน์ แต่ไม่มีแท็บเล็ตให้ยืม เด็กที่ไม่มีอุปกรณ์คือเด็กที่ขาดโอกาส
และถ้าเทคโนโลยีใหม่ ๆ ถูกออกแบบมาให้ใช้ได้เฉพาะกับคนรุ่นใหม่หรือคนเมือง แล้วผู้สูงวัยกับคนจนล่ะ?
ในยุคที่ทุกอย่างขับเคลื่อนด้วยดิจิทัล ความเหลื่อมล้ำไม่ได้อยู่ที่รายได้อย่างเดียว แต่อยู่ที่ “ใครเข้าถึงอนาคตได้ก่อน”
บางที... การสร้างความเท่าเทียมอาจเริ่มต้นจากการถามว่า “วันนี้เรายังทิ้งใครไว้ข้างหลังอีกหรือเปล่า?”
แหล่งข้อมูลอ้างอิง
- UNESCO. (2021). Digital Inclusion for All
- World Bank. (2023). Digital Dividends Report
- สำนักงานพัฒนารัฐบาลดิจิทัล (DGA)