
ในยุคที่ TikTok มาเร็วกว่าแฟลช, AI เขียนบทความได้ในไม่กี่วินาที, และอัลกอริทึมของแพลตฟอร์มเปลี่ยนเร็วกว่าคนจะปรับตัว คำว่า “Content is King” ยังมีความหมายอยู่ไหม?
คำตอบคือ "ยังไหว" แต่ไม่เหมือนเดิม
เดิมทีคำนี้โด่งดังจากคำพูดของบิล เกตส์ เมื่อปี 1996 ว่า “Content is where I expect much of the real money will be made on the Internet, just as it was in broadcasting.” ซึ่งถูกต้องอย่างมากในยุคนั้น และแม้แต่ตอนนี้ เนื้อหาก็ยังเป็นตัวตั้งของทุกอย่าง แต่โลกเปลี่ยนไปมาก — เราไม่ได้อยู่แค่ในยุคของ “ใครเขียนเก่งกว่าชนะ” อีกต่อไป
ตอนนี้ เราอยู่ในยุคของ "Context is Queen" และ "Distribution is Emperor"
คุณอาจมีเนื้อหาที่ดีมาก แต่ถ้าคนไม่เจอ มันก็ไร้ผล เช่นเดียวกัน ถ้าเขียนไม่ตอบโจทย์หรือไม่ตรงกับสิ่งที่คนอยากรู้ ณ โมเมนต์นั้น ต่อให้ดีก็ยังไม่เกิดผล
เนื้อหายังเป็น "King" ได้ ถ้ามีคุณสมบัติเหล่านี้:
-
มีคุณค่า: คนอ่านแล้วรู้สึกได้ประโยชน์หรือรู้สึกบางอย่าง
-
มีเอกลักษณ์: ไม่ใช่ AI copy หรือซ้ำกับทุกที่
-
มีความต่อเนื่อง: สร้างความสัมพันธ์กับผู้อ่าน ไม่ใช่แค่บทความเดียวจบ
-
มีการจัดวางในระบบที่ดี: SEO, UI, การกระจายเนื้อหา ล้วนเป็นปัจจัยสนับสนุน
ถ้าจะให้ “Content is King” ยังครองบัลลังก์ต่อไปได้ ต้องยอมรับว่าโลกไม่ได้อยู่ในมือของคอนเทนต์อย่างเดียวอีกแล้ว มันต้องจับมือกับแพลตฟอร์ม เทคโนโลยี และการเข้าใจพฤติกรรมผู้คนแบบลึกขึ้น
พูดตรง ๆ ก็เหมือนกับวงการดนตรี — เพลงดีแค่ไหน ถ้าไม่มีคนฟัง ก็เท่านั้น แต่ถ้าเพลงดี แล้วยังรู้จักโปรโมตให้คนเจอ โอกาสเกิดไวรัลก็มีสูงมาก คอนเทนต์ก็เช่นกัน
และสุดท้ายนี้ ถ้าคุณกำลังสร้างอะไรอยู่ อย่าเพิ่งรีบถามว่า "โพสต์นี้จะดังไหม?"
แต่ถามว่า "โพสต์นี้มีประโยชน์กับใครบ้าง?"
คำตอบตรงนั้นแหละ คือก้าวแรกของ King ที่แท้จริง
เครดิตข้อมูล:
- Gates, B. (1996). Content is King. Microsoft Archives
- Rand Fishkin, Lost and Founder
- Nielsen Norman Group: https://www.nngroup.com/