
เมื่อพูดถึง “ชายแดน” ในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ หลายคนอาจนึกถึงด่านตรวจคนเข้าเมือง เส้นแบ่งแผนที่ หรือข่าวข้อพิพาทพื้นที่ทับซ้อน แต่เบื้องหลังเส้นขีดเหล่านั้น มักซ่อนชั้นเชิงของ “การเมือง” ไว้อย่างแนบเนียน
ชายแดนในอาเซียนไม่ได้มีแค่หน้าที่เป็นเส้นแบ่งระหว่างรัฐ แต่ยังเป็น “พื้นที่ยุทธศาสตร์” ที่หลายประเทศใช้ต่อรองอำนาจ ทั้งด้านความมั่นคง เศรษฐกิจ และอิทธิพลในระดับภูมิภาค
1. พรมแดน = เส้นแบ่ง หรือช่องทางเศรษฐกิจ?
ตัวอย่างที่ชัดเจนคือ “ด่านชายแดนไทย–กัมพูชา” หรือ “ไทย–เมียนมา” ที่เป็นศูนย์กลางของการค้าชายแดนมูลค่าหลายแสนล้านบาทต่อปี การที่ประเทศหนึ่งเปิดหรือปิดด่าน อาจส่งผลถึงความเป็นอยู่ของคนท้องถิ่นทันที ไม่ต่างจากการใช้ “การค้า” เป็นเครื่องมือทางการเมือง
2. ข้อพิพาทพรมแดน = เรื่องอดีตที่ยังไม่จบ
หลายประเทศในอาเซียนมีประวัติการกำหนดพรมแดนโดยอิงจากแผนที่ยุคอาณานิคม เช่น ไทยกับกัมพูชาที่เคยมีประเด็น “ปราสาทพระวิหาร” ซึ่งแม้จะมีคำตัดสินจากศาลโลก แต่การตีความและการปฏิบัติจริงยังคงมีช่องว่างให้ตีความต่อรอง
3. อำนาจรัฐกลาง VS อำนาจท้องถิ่น
บางพื้นที่ชายแดนยังมีบทบาทของชนกลุ่มน้อย หรือกลุ่มชาติพันธุ์ ที่มีสายสัมพันธ์ข้ามพรมแดน เช่น กลุ่มชาวกะเหรี่ยง หรือมุสลิมมลายูในพื้นที่ภาคใต้ของไทย ซึ่งรัฐต้องใช้ความระมัดระวังในการบริหารจัดการ เพื่อไม่ให้กลายเป็นเงื่อนไขของความขัดแย้งที่ลุกลาม
4. มหาอำนาจกับชายแดนอาเซียน
อย่าลืมว่า อาเซียนคือสนามแข่งขันของ “มหาอำนาจ” จีนมีโครงการ Belt and Road ที่พาดผ่านลาว เมียนมา ไทย ขณะที่สหรัฐฯ และพันธมิตรตะวันตกก็มีแผนยุทธศาสตร์อินโด-แปซิฟิก พื้นที่ชายแดนจึงไม่ใช่แค่เรื่องภายใน แต่เชื่อมโยงถึงระดับโลก
ชายแดนในอาเซียนจึงไม่ใช่เพียงเส้นแบ่งดินแดน แต่คือ “กระดานหมาก” ที่แต่ละฝ่ายเดินเกมด้วยผลประโยชน์เฉพาะของตัวเอง เราจะเข้าใจภูมิรัฐศาสตร์ได้ลึกแค่ไหน…บางทีอาจต้องมองให้ทะลุจากแค่เสาด่านธรรมดา