
ในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ได้สั่งให้ระดมกำลังทหาร National Guard และหน่วย Marines เข้าไปยังนครลอสแองเจลิส รัฐแคลิฟอร์เนีย เพื่อควบคุมสถานการณ์การประท้วงที่ปะทุขึ้นจากการจับกุมผู้อพยพโดยสำนักงานตรวจคนเข้าเมือง (ICE) ซึ่งนำไปสู่กระแสคัดค้านในวงกว้างจากทั้งภาคประชาชนและเจ้าหน้าที่ท้องถิ่น
คำสั่งนี้กลายเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญที่ทำให้เกิดการตั้งคำถามอย่างจริงจังถึงขอบเขตของ “อำนาจรัฐบาลกลาง” โดยเฉพาะเมื่อรัฐบาลท้องถิ่นในหลายเมือง รวมถึงลอสแองเจลิส มีท่าทีชัดเจนว่าต้องการดำเนินนโยบายที่ให้ความสำคัญกับ “สิทธิของผู้อพยพ” และ “การอยู่ร่วมกันอย่างสันติ”
แม้รัฐธรรมนูญสหรัฐจะให้อำนาจแก่รัฐบาลกลางในการดูแลความมั่นคงภายใน แต่การส่งกำลังทหารเข้าไปควบคุมประชาชนในเขตเมืองที่มีการประท้วงโดยสันติ ย่อมทำให้เกิดคำถามว่ารัฐบาลกำลัง “ใช้กำลัง” แทนที่จะ “รับฟัง” หรือไม่
ยิ่งไปกว่านั้น นักวิชาการด้านสิทธิมนุษยชนบางรายยังชี้ว่า การเคลื่อนไหวครั้งนี้อาจเป็นการ “ก้าวข้ามขีดจำกัด” ของการปกครองแบบประชาธิปไตย เพราะไม่ได้มีเพียงประเด็นความมั่นคง หากแต่กระทบถึงความไว้วางใจของประชาชนที่มีต่อสถาบันรัฐโดยรวม
สิ่งที่น่าสนใจคือ ในอดีต สหรัฐเองก็เคยมีกรณีที่รัฐบาลกลางส่งกำลังเข้ารัฐต่าง ๆ เช่น ในช่วงยุคสิทธิพลเมือง (Civil Rights Movement) ทว่าในครั้งนั้นเพื่อ “คุ้มครอง” สิทธิประชาชนจากรัฐท้องถิ่นที่เลือกปฏิบัติ ในขณะที่กรณีลอสแองเจลิสครั้งนี้กลับกัน — รัฐบาลกลางกลายเป็นผู้ถูกตั้งคำถามถึงการใช้อำนาจ
แน่นอนว่าเรื่องนี้ไม่ได้จบลงง่าย ๆ และอาจส่งผลต่อการเมืองระดับชาติ โดยเฉพาะในช่วงใกล้เลือกตั้งใหญ่ที่กำลังจะมาถึง ซึ่ง “สิทธิผู้อพยพ” กลายเป็นหัวข้อร้อนที่ทั้งสองพรรคการเมืองใช้เป็นหมากสำคัญ
แหล่งข้อมูล: สถาบัน Brookings Institution, Center for Strategic and International Studies (CSIS), รายงานเสรีภาพพลเมืองจาก ACLU