
เทคโนโลยีทำให้ “คนเก่งขึ้น” จริงไหม?
หลายคนอาจเคยได้ยินคำว่า “Human Enhancement” หรือเทคโนโลยีที่ช่วยเพิ่มขีดความสามารถมนุษย์ ตั้งแต่ยาเพิ่มสมาธิ จนถึงชิปในสมองแบบ Neuralink ที่ Elon Musk พัฒนาขึ้น สิ่งเหล่านี้ไม่ใช่แค่ไอเดียล้ำยุคอีกต่อไป แต่มันเริ่มเกิดขึ้นจริงแล้วในบางมุมของโลก
ไม่ใช่แค่เรื่องของร่างกายหรือสมอง
เทคโนโลยีเสริมมนุษย์ไม่ได้จำกัดแค่การใส่แขนกลหรือแว่นอัจฉริยะ แต่รวมถึงการใช้ AI เพื่อจัดการงาน ความรู้ที่เข้าถึงได้ทันที หรือแม้แต่การฝึกสมองผ่าน VR ที่ทำให้เราจำอะไรได้เร็วขึ้น เหล่านี้คือ “การยกระดับ” โดยเทคโนโลยี
เมื่อบางคนเข้าถึงได้... แล้วคนที่เหลือล่ะ?
คำถามสำคัญคือ ใครกันแน่ที่ได้ประโยชน์จากเทคโนโลยีเหล่านี้? เพราะความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีมักไม่กระจายตัวอย่างเท่าเทียม คนรวยเข้าถึงได้ก่อน คนจนกลายเป็นแค่ผู้ตาม
ตัวอย่างจากโลกจริง
ในบางประเทศ นักเรียนใช้แว่น AR เพื่อเรียนรู้แบบอินเตอร์แอคทีฟ ขณะที่อีกมุมของโลก เด็กยังต้องเดินไปโรงเรียนหลายกิโลฯ โดยไม่มีแม้แต่ไฟฟ้า ความเหลื่อมล้ำนี้ไม่ได้แค่ “เศร้า” แต่มันเป็นระบบที่อาจลึกซึ้งกว่าที่เราคิด
ผลกระทบที่มองไม่เห็น
การมี “คนที่เหนือกว่า” เพราะเทคโนโลยี อาจสร้างโลกที่แบ่งเป็นชนชั้นใหม่: คนที่อัปเกรดได้ กับคนที่ไม่เคยมีโอกาส ระบบแบบนี้อาจนำไปสู่การตัดสินคุณค่าและโอกาสจากการเข้าถึงเทคโนโลยี มากกว่าความสามารถจริง
จะเกิดอะไรขึ้นถ้าเทคโนโลยีเป็นตัวกำหนดอนาคต?
เมื่อการได้งานดีขึ้นอยู่กับการใช้ AI เป็น หรือสมองที่มีชิปช่วยประมวลผลไวกว่า ระบบแบบนี้อาจกลายเป็น “การคัดเลือกทางเทคโนโลยี” ที่รุนแรงยิ่งกว่าการแข่งขันแบบเก่า
แล้วเราจะรับมือกับเรื่องนี้อย่างไร?
การสร้างระบบที่เข้าถึงได้ (Accessible) คือจุดเริ่มต้น ไม่ใช่แค่ให้ทุกคนมีอินเทอร์เน็ตใช้ แต่ต้องมีนโยบายที่ไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง เช่น สนับสนุนการเรียนรู้ดิจิทัลขั้นพื้นฐาน และควบคุมไม่ให้เทคโนโลยีกลายเป็นเครื่องมือสร้างอภิสิทธิ์
แนวทางจากต่างประเทศ
บางประเทศเริ่มออกนโยบายที่ทำให้ Human Enhancement ถูกกำกับดูแล เช่น การห้ามใช้ AI วิเคราะห์ใบหน้าในบางสถานการณ์ หรือการจำกัดการใช้ยากระตุ้นสมองในหมู่เยาวชน เป็นสัญญาณว่าเราไม่ควรปล่อยให้เทคโนโลยีขับเคลื่อนโดยไร้ทิศทาง
ในโลกที่เทคโนโลยีสามารถทำให้บางคน “เหนือกว่า” คำถามจึงไม่ใช่แค่ว่า “ใครจะเก่งขึ้น” แต่เป็น “เราจะอยู่ร่วมกับความเหลื่อมล้ำแบบใหม่นี้อย่างไร” บางทีคำถามที่ไม่มีคำตอบ ก็อาจช่วยให้เราอยู่กับมันได้อย่างเข้าใจมากขึ้น