
AI ไม่ได้มาแย่งงาน แต่อาจเปลี่ยนเงื่อนไขของการได้งาน
เวลาพูดถึง AI เรามักได้ยินคำว่า “ไม่ต้องกลัวหรอก มันยังมาแทนคนไม่ได้” แต่ความจริงที่น่ากลัวกว่าการถูกแทนที่ คือการ “ถูกทำให้ไม่ทันเกม” โดยไม่รู้ตัว มันไม่ใช่แค่หุ่นยนต์มาแทนคนผลิตชิ้นส่วนในโรงงาน หรือโปรแกรมมาช่วยเขียนโค้ดเร็วขึ้น แต่คือการที่ “งานใหม่” ถูกออกแบบบนสมมติฐานว่า คุณใช้เครื่องมือ AI เป็นอยู่แล้ว
โอกาสถูกออกแบบมาให้คนที่ใช้ AI เป็น
ลองนึกภาพงานเปิดรับพนักงานเขียนบทความ ที่มีคนสมัครพร้อมกัน 10 คน ในนั้นมี 3 คนที่รู้จักใช้ AI ช่วยวางโครงเรื่อง ตรวจคำผิด ค้นข้อมูลเบื้องต้น เขาทำงานเร็วขึ้น 2 เท่า ต้นทุนต่ำลง และยังเหลือเวลาคิดสร้างสรรค์เพิ่มอีก เขาไม่ได้ “เก่ง” กว่าคุณในเชิงเนื้อหาเสมอไป แต่ระบบจ้างงานมองว่าเขา “คุ้มกว่า” เพราะทำได้เร็วและหลากหลายกว่า
AI ไม่ได้มาแย่งงาน แต่มาเปลี่ยนสนามแข่งขัน
นี่คือความเปลี่ยนแปลงที่ไม่ดราม่า แต่ลึกและจริง งานหลายอย่างที่เคยใช้ทักษะเฉพาะ อาจถูกลดทอนลงเหลือเพียง “ใครใช้เครื่องมือได้เก่งกว่า” เช่น นักตัดต่อวิดีโอที่ไม่รู้จักใช้ AI ช่วยไล่ซับ หรือลบฉากหลัง อาจเสียเวลาเท่าตัว
กราฟิกดีไซเนอร์ที่ไม่เคยลอง Midjourney หรือ DALL·E อาจถูกมองว่า "ไม่ตามโลก" ที่น่าคิดคือ — ต่อให้คุณยัง “เก่ง” เท่าเดิม แต่ในโลกที่คนอื่นใช้ AI เป็น คุณจะดูช้ากว่า แพงกว่า และถูกเลือกน้อยลง
เราควรทำยังไงในยุคที่เครื่องมือกลายเป็นทักษะพื้นฐาน
คำตอบไม่ใช่ทุกคนต้องกลายเป็นสายเทค แต่คือเราต้อง รู้ว่าเครื่องมือใหม่มีอะไรบ้าง และจะใช้มันช่วยงานเราอย่างไร ไม่ว่าจะเป็นครู, นักเขียน, นักบัญชี, ช่างภาพ, หรือแม่ค้าออนไลน์ การรู้จักใช้ AI มาเสริมงานแทนที่จะกลัวมัน คือวิธีไม่ให้โอกาสหลุดมือ
บางทีโลกไม่ได้ใจร้าย แค่หมุนเร็วขึ้น และใครที่ยังอยู่กับที่ อาจกลายเป็นคนที่ไม่มีแม้แต่โอกาสจะแข่ง