สแกนสุขภาพด้วย Apple Watch / Galaxy Watch ได้แม่นแค่ไหน?
นาฬิกาอัจฉริยะอย่าง Apple Watch และ Galaxy Watch ไม่ได้เป็นแค่เครื่องดูเวลาอีกต่อไป แต่กลายเป็น “ผู้ช่วยสุขภาพขนาดพกพา” ที่หลายคนใช้ตรวจจับหัวใจ วัดออกซิเจนในเลือด ไปจนถึงติดตามการนอน
แต่คำถามคือ… เชื่อได้แค่ไหน? แม่นจริงหรือแค่ใกล้เคียง?
เทคโนโลยีตรวจสุขภาพในสมาร์ทวอทช์ทำงานอย่างไร?
นาฬิกาเหล่านี้ใช้เซนเซอร์แบบ PPG (Photoplethysmography) ยิงแสงผ่านผิวหนังเพื่อวัดการไหลเวียนของเลือด ซึ่งนำไปใช้ในการวัดค่า:
- อัตราการเต้นของหัวใจ (Heart Rate)
- ความแปรปรวนของหัวใจ (HRV)
- ระดับออกซิเจนในเลือด (SpO2)
- คุณภาพการนอน
- ความเครียด (บางรุ่น)
- คลื่นไฟฟ้าหัวใจ (ECG) — เฉพาะ Apple Watch และบางรุ่นของ Galaxy Watch
เทียบความแม่นของ Apple Watch vs Galaxy Watch
ฟีเจอร์ | Apple Watch Series 9 | Galaxy Watch6 |
---|---|---|
วัดหัวใจ | แม่นยำสูงใกล้เคียงเครื่องแพทย์ (ในกิจกรรมเบา) | แม่นในระดับทั่วไป |
วัด SpO2 | แม่นในสภาวะปกติ ไม่เหมาะกับโรคทางเดินหายใจ | ใกล้เคียงแต่ไม่ควรใช้แทนการแพทย์ |
ECG | รองรับและผ่านอย.ในบางประเทศ | บางรุ่นมี ECG แต่ไม่เปิดใช้งานในไทย |
ตรวจการล้ม | แม่นและแจ้งเตือนฉุกเฉินอัตโนมัติ | รองรับเช่นกันแต่ยังไม่สมบูรณ์แบบเท่า |
วัดการนอน | วิเคราะห์ดี มีคำแนะนำ | วิเคราะห์พฤติกรรมการนอนได้ละเอียด |
หมายเหตุ: ค่าที่ได้จากอุปกรณ์เหล่านี้เหมาะ “เพื่อการติดตามทั่วไป” ไม่ใช่เพื่อวินิจฉัยโรค
ข้อจำกัดที่ต้องรู้
-
เครื่องมือแพทย์มาตรฐานยังแม่นยำกว่า
การตรวจด้วยเครื่องมือทางการแพทย์จะอิงจากตำแหน่ง การสอบเทียบ และเครื่องมือเฉพาะที่เชื่อถือได้ -
ตำแหน่งการสวมใส่ส่งผลต่อความแม่น
ถ้าใส่หลวมไปหรือตำแหน่งไม่ถูกต้อง เช่น ขยับขึ้น-ลงบ่อยๆ จะทำให้ค่าผิดเพี้ยน -
กิจกรรมที่ทำขณะวัดมีผล
เช่น หากวัดอัตราการเต้นของหัวใจหลังวิ่งทันที อาจได้ค่าผิดจากการเคลื่อนไหวหรือเหงื่อ
สรุปแบบเข้าใจง่าย:
- Apple Watch และ Galaxy Watch วัดค่าต่าง ๆ ได้ “ใกล้เคียง” ความจริง โดยเฉพาะกิจกรรมทั่วไปและการดูแนวโน้มสุขภาพ
- ไม่ควรใช้แทนอุปกรณ์ทางการแพทย์ ในกรณีที่ต้องวินิจฉัยโรคหรือรักษา
- เหมาะกับการเฝ้าดูแนวโน้มสุขภาพ ระยะยาว เช่น การนอน ออกกำลังกาย และเตือนความผิดปกติ