
พริกไทย – เครื่องเทศที่เคยรุ่งเรือง
พริกไทยเคยเป็นหนึ่งในพืชเศรษฐกิจที่สร้างรายได้ให้กับเกษตรกรภาคใต้ โดยเฉพาะในจังหวัดจันทบุรี ตราด และระนอง ราคาพุ่งสูงในช่วงที่ความต้องการจากต่างประเทศเพิ่มขึ้น ทำให้หลายคนหันมาปลูกพืชชนิดนี้แทนยางพาราหรือผลไม้บางชนิด
แต่ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา ราคาพริกไทยกลับร่วงลงอย่างต่อเนื่อง จากกิโลกรัมละร้อยกว่าบาท เหลือเพียงไม่ถึงห้าสิบบาทในบางพื้นที่
แล้วอะไรทำให้ราคาพริกไทยฝืดลงขนาดนี้?
หนึ่งในเหตุผลหลักคือ “อุปทานล้นตลาด” จากการปลูกซ้ำซ้อนโดยไม่มีการวางแผน ทั้งที่ความต้องการไม่ได้เพิ่มขึ้นในระดับเดียวกัน ขณะเดียวกันตลาดส่งออกที่เคยหวังพึ่งก็เริ่มมีข้อจำกัดจากมาตรฐานต่างประเทศ ทั้งด้านสารเคมีตกค้างและคุณภาพของผลผลิต
ระบบพึ่งพาพ่อค้าคนกลาง: วงจรที่ยากจะหลุดพ้น
ในหลายพื้นที่ เกษตรกรไม่มีอำนาจต่อรองในตลาด ต้องขายผ่านพ่อค้าคนกลาง ซึ่งเป็นผู้กำหนดราคารับซื้อ ขาดระบบตลาดที่โปร่งใสหรือช่องทางการขายตรงถึงผู้บริโภคหรือผู้ส่งออก
แม้เทคโนโลยีการเกษตรจะก้าวหน้า แต่เกษตรกรหลายรายยังขาดโอกาสเข้าถึงข้อมูลด้านราคา เทรนด์ตลาด หรือแนวโน้มของพืชชนิดอื่น ทำให้การตัดสินใจปลูกยังอิงกับ “ความหวัง” มากกว่าข้อมูล
เมื่อโครงสร้างไม่เปลี่ยน พืชชนิดไหนก็เสี่ยง
กรณีของพริกไทยไม่ใช่เรื่องใหม่ มันสะท้อนภาพซ้ำของวงจร “ปลูกตามกัน-ราคาตก-ขาดทุน” ที่เกิดขึ้นซ้ำแล้วซ้ำอีก ไม่ว่าจะเป็นลำไย มังคุด หรือแม้แต่ทุเรียนที่เคยราคาดีมาก่อน
ในเชิงโครงสร้าง การเกษตรไทยยังเน้นปริมาณมากกว่าคุณภาพ ขาดการวางแผนผลิตให้สอดคล้องกับตลาด และยังไม่มีระบบประกันความเสี่ยงที่ยั่งยืนพอจะพยุงรายได้เกษตรกรในยามราคาตกต่ำ
คำถามคือ เราจะปล่อยให้ความหวังของเกษตรกรแขวนอยู่กับราคาตลาดแบบวันต่อวันอีกนานแค่ไหน?
บางที การพูดเรื่องพริกไทย อาจไม่ใช่แค่เรื่องเครื่องเทศ แต่คือรสชาติของ “ความไม่มั่นคง” ที่ฝังลึกในระบบเกษตรไทย
แหล่งข้อมูลอ้างอิง
- สำนักงานเศรษฐกิจการเกษตร (สศก.)
- รายงานจากกรมส่งเสริมการเกษตร
- FAO – Food and Agriculture Organization