
ในวันที่ค่าครองชีพพุ่งสูง รายได้กลับนิ่งสนิท หลายคนเริ่มหันมาถามตัวเองว่า “เราจะอยู่รอดไปได้อีกนานแค่ไหน?”
คำตอบของคำถามนี้อาจไม่ได้อยู่ในนโยบายรัฐ หรือทฤษฎีเศรษฐศาสตร์ระดับโลก แต่อยู่ในแนวคิดเล็ก ๆ ที่เรียกว่า “Survival Economy” หรือ เศรษฐกิจเพื่อการอยู่รอด
Survival Economy คืออะไร?
ไม่ใช่ศัพท์วิชาการ แต่เป็นคำที่สะท้อนพฤติกรรมของคนธรรมดาที่ต้องปรับตัวกับโลกที่เปลี่ยนเร็วและแพงขึ้นเรื่อย ๆ
เช่น การลดรายจ่ายที่ไม่จำเป็น, หันมาแลกเปลี่ยนของใช้กับเพื่อนบ้าน, หรือแม้แต่การปลูกผักกินเองเพื่อประหยัดค่าอาหาร
ลองนึกถึงคนที่เลิกซื้อกาแฟร้านหรูแล้วหันมาชงเอง หรือแม่บ้านที่รวมกลุ่มกันทำอาหารขายออนไลน์แบบไม่ต้องมีหน้าร้าน
นั่นแหละคือการใช้ชีวิตตามหลัก Survival Economy
ไม่ได้จนลง แค่เปลี่ยนวิธีรอด
หลายคนอาจมองว่าใครที่ใช้ชีวิตแบบนี้คือ “คนจนลง” แต่จริง ๆ แล้วไม่ใช่
บางคนเลือกประหยัดเพื่อเก็บเงินไว้ลงทุน
บางคนเลือกลดขนาดการใช้จ่ายเพื่อซื้อเวลาให้ตัวเองได้พักผ่อนมากขึ้น
และบางคนก็แค่ไม่อยากตกเป็นเหยื่อของระบบบริโภคที่ทำให้เหนื่อยโดยไม่รู้ตัว
ปรับชีวิตให้เป็นระบบมากขึ้น
-
ทำบัญชีรายรับรายจ่ายอย่างจริงจัง
ไม่ใช่แค่จดไว้ แต่ต้องดูทุกสัปดาห์เพื่อรู้ว่าเงินไหลออกตรงไหนโดยไม่รู้ตัว -
เปลี่ยน “ต้องซื้อ” เป็น “ขอยืม/ขอใช้ร่วม”
ของหลายอย่างเราไม่ได้ใช้ทุกวัน เช่น เครื่องมือช่าง เครื่องครัวใหญ่ ๆ ลองแชร์กับเพื่อนบ้านหรือครอบครัว -
สร้างรายได้เสริมแบบไม่ต้องลาออก
งานเขียน งานกราฟิก งานดูแลเพจ หรืองานสอนออนไลน์ ล้วนเริ่มต้นได้จากบ้าน
อย่ารอให้พังค่อยซ่อม
เศรษฐกิจระดับประเทศอาจไม่ฟื้นในเร็ววัน แต่ระดับบุคคลเราสามารถ “เสริมพื้นฐาน” ให้มั่นคงขึ้นได้
เหมือนการซ่อมรอยรั่วเล็ก ๆ ก่อนที่บ้านจะพังทั้งหลัง
บางครั้งการอยู่รอดไม่ใช่เรื่องน่าอาย แต่น่าเรียนรู้
เพราะคนที่อยู่รอดได้ มักเป็นคนที่เข้าใจชีวิตมากกว่าคนที่อยู่เฉย ๆ แล้วหวังว่าโชคจะกลับมา
และในโลกที่ไม่แน่นอน เราทุกคนต่างเป็นนักเอาตัวรอด...ในแบบของตัวเอง