
AI Feudalism คืออะไร และทำไมต้องสนใจ?
คำว่า “AI Feudalism” หรือ “ระบบศักดินาในยุคเอไอ” สื่อถึงโครงสร้างอำนาจใหม่ ที่มีบรรษัทเทคโนโลยียักษ์ใหญ่เป็นเจ้าขุนมูลนาย ผู้ครอบครองโมเดลและโครงสร้างพื้นฐานด้าน AI ทั้งหมด ในขณะที่ประเทศเล็กหรือองค์กรทั่วไป เป็นเพียง “ไพร่ดิจิทัล” ที่ต้องจ่ายค่าใช้เพื่อให้เข้าถึงเทคโนโลยีนี้
ตัวอย่างในชีวิตจริง
- ประเทศเล็ก ๆ ที่ต้องใช้ API จากโมเดลภาษาอังกฤษโดยไม่มีเวอร์ชันท้องถิ่น - องค์กรที่ต้องจ่ายแพงเพื่อ fine-tune โมเดล แต่ข้อมูลก็ยังต้องฝากไว้กับผู้ให้บริการ ไทยเองก็เริ่มเข้าใกล้โครงสร้างนี้อย่างเงียบ ๆ หากไม่กำหนดบทบาทของตัวเองให้ชัดเจน
รัฐบาลไทยกำลังอยู่ตรงไหนของระบบศักดินา AI?
1. ผู้ใช้ ไม่ใช่เจ้าของ
แม้จะมีโครงการที่เกี่ยวข้องกับ AI เช่น การพัฒนาโมเดลภาษาไทย หรือการใช้ AI ตรวจจับความเสี่ยงทางเศรษฐกิจ แต่โดยรวมแล้ว ไทยยังพึ่งพาเทคโนโลยีจากต่างประเทศเป็นหลัก ไม่ว่าจะเป็นคลาวด์ โมเดล หรือเครื่องมือ
2. การลงทุนที่ยังไม่เชื่อมโยงกัน
หน่วยงานรัฐบางแห่งมีงบวิจัยพัฒนา AI แต่ขาดระบบกลางและวิสัยทัศน์ร่วมระดับประเทศ โมเดลที่พัฒนาขึ้นจึงกระจัดกระจาย และไม่สามารถนำมาใช้ร่วมกันได้จริง
3. ความเสี่ยงเรื่อง Data Sovereignty
เมื่อข้อมูลสำคัญของประเทศไปอยู่บนเซิร์ฟเวอร์ต่างชาติ หรือถูกนำไปฝึกโมเดลโดยไม่ได้รับการคุ้มครองที่เพียงพอ สิ่งที่ตามมาไม่ใช่แค่การพึ่งพา แต่คือการถูกผูกขาดเชิงนโยบาย
จะเป็น “เจ้าของเทคโนโลยี” ต้องเริ่มจากตรงไหน?
1. ลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานของตัวเอง
การสร้างศูนย์ข้อมูลแห่งชาติ หรือ Supercomputer ที่ไม่ต้องพึ่งคลาวด์ต่างประเทศ เป็นจุดเริ่มที่จำเป็น เพื่อให้เราควบคุมทรัพยากรด้าน AI ได้จริง
2. สร้างโมเดลที่เข้าใจบริบทไทย
การพัฒนา LLM ภาษาไทยที่ไม่ใช่แค่แปลจากภาษาอื่น แต่ “เข้าใจความเป็นไทย” ในเชิงวัฒนธรรม ประวัติศาสตร์ และนโยบาย
3. รัฐต้องเป็นทั้ง “ผู้ใช้” และ “ผู้กำกับ”
การเปิด API ให้ภาคเอกชนและสตาร์ทอัพใช้โมเดลที่รัฐสร้างได้ฟรีหรือราคาถูก จะช่วยให้เกิดการเติบโตอย่างกระจาย ไม่กระจุก และสร้างอธิปไตยทางเทคโนโลยีอย่างแท้จริง
ถ้าไม่ทำตอนนี้ อนาคตจะเป็นยังไง?
โลกของ AI กำลังถูกกำหนดโดยผู้ที่ “มีข้อมูล มีคลังพลังประมวลผล และมีสิทธิ์ควบคุม narrative” ถ้าไทยไม่สร้างพื้นที่ของตัวเองไว้ในระบบนิเวศนี้ เราอาจต้องยอมรับนโยบาย เงื่อนไข และราคาที่คนอื่นกำหนด — ไปตลอดกาล