ทุกวันนี้ เหตุการณ์ร้อนแรงในสังคมไม่ทันถึงข่าวค่ำก็กลายเป็นกระแสบนโซเชียลแล้ว จากคลิปวิดีโอ 30 วินาที คนหนึ่งอาจถูกตัดสินว่า “ผิด” ทันที ทั้งที่ยังไม่มีใครฟังเรื่องราวอีกด้าน ความเร็วของโซเชียลกลายเป็นเหมือนศาลเตี้ยที่ใครก็เข้ามาตัดสินได้ ไม่ต้องใช้หลักฐาน ไม่ต้องมีคำพิพากษา
แม้หลายครั้งเจตนาในการแชร์จะมาจากความหวังดี เช่น อยากเตือนภัย หรือเรียกร้องความยุติธรรม แต่ก็มีไม่น้อยที่การแชร์เร็วไป กลับสร้างความเสียหายทั้งชื่อเสียง หน้าที่การงาน หรือแม้แต่ชีวิตของคน ๆ หนึ่ง โดยที่ยังไม่มีใครรับผิดชอบต่อผลกระทบที่เกิดขึ้น
ตัวอย่างมีให้เห็นบ่อย เช่น การแชร์ภาพผู้ต้องสงสัยโดยไม่มีการปกปิดใบหน้า การแคปข้อความจากแชตส่วนตัว หรือแม้แต่การคาดเดาเรื่องราวจากโพสต์ที่ขาดบริบท ล้วนเป็นพฤติกรรมที่ละเมิดสิทธิส่วนบุคคล และอาจเข้าข่ายผิดกฎหมาย เช่น พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ หรือกฎหมายคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล (PDPA)
สิ่งที่สังคมต้องตระหนักคือ "การแชร์คือการขยายผล" ไม่ต่างจากการพูดซ้ำในวงกว้าง และยิ่งมีคนแชร์มากเท่าไร ความเสียหายก็ยิ่งทวีคูณ หากภายหลังเรื่องราวนั้นไม่เป็นจริงหรือคลาดเคลื่อน ใครจะเป็นผู้รับผิด? เจ้าของโพสต์? ผู้แชร์? หรือไม่มีใครเลย?
วิธีที่ปลอดภัยที่สุดอาจไม่ใช่การ “ไม่แชร์” แต่คือ “ชะลอแชร์” พิจารณาให้รอบด้าน ถามตัวเองก่อนว่า ข้อมูลนี้เชื่อถือได้แค่ไหน? เป็นเรื่องส่วนตัวของใครหรือไม่? และการแชร์นี้มีเจตนาเพื่อสร้างสรรค์หรือแค่ระบายอารมณ์
บางครั้ง การไม่แชร์อะไรเลย อาจช่วยปกป้องใครบางคนจากความเสียหายที่ไม่ควรเกิดขึ้น และนั่นอาจเป็นความรับผิดชอบเล็ก ๆ ที่เราทุกคนทำได้ในโลกที่ข้อมูลไวกว่าใจ
ข้อมูลอ้างอิงจาก:
- สำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล (PDPC)
- Electronic Transactions Development Agency (ETDA)