
เมืองที่เชื่อมต่อกันด้วยเครือข่าย… แต่ไม่เชื่อมถึงใจคน
ในสายตาภายนอก เมืองใหญ่ในไทยเต็มไปด้วยสายไฟ เสาสัญญาณ 5G และ Wi-Fi สาธารณะ ดูเหมือนเป็น “เมืองดิจิทัล” ที่พร้อมเชื่อมต่อทุกคนสู่โลกออนไลน์ แต่ในความจริง เรากลับพบคนจำนวนมากที่ใช้ชีวิตอยู่ในเงามืดของระบบนี้ — ไม่ใช่เพราะไม่มีสัญญาณอินเทอร์เน็ต แต่เพราะไม่มีทุน ไม่มีทักษะ หรือไม่มีแม้แต่เวลาที่จะใช้มันอย่างเต็มที่
เสา 5G ไม่ได้แปลว่าทุกคนออนไลน์
เครือข่ายอาจครอบคลุม แต่ถ้าคนไม่มีมือถือ ไม่มีแพ็กเกจเน็ต หรือไม่มีความมั่นใจจะใช้งาน มันก็แค่สิ่งปลูกสร้างที่ไม่มีความหมายสำหรับเขา ยิ่งในครอบครัวรายได้น้อย การเข้าถึงเทคโนโลยีไม่เคยง่าย แม้จะอยู่กลางเมือง
ดิจิทัลคือโอกาส... แต่ไม่ใช่สำหรับทุกคน
หลายบริการถูกย้ายไปอยู่บนแอป — ตั้งแต่การธนาคารไปจนถึงจองคิวโรงพยาบาล ใครที่ “ตามไม่ทัน” จะรู้สึกเหมือนกำลังถูกแยกออกจากสังคมโดยไม่รู้ตัว แม้จะไม่ได้อยู่ชายขอบของเมือง แต่กลับอยู่ชายขอบของระบบดิจิทัล
ความเหลื่อมล้ำทางเทคโนโลยี: ปัญหาที่ซ่อนอยู่หลังสัญญาณแรง
งานวิจัยหลายชิ้นชี้ว่าความเหลื่อมล้ำทางเทคโนโลยีเป็นตัวเร่งให้เกิดความเหลื่อมล้ำด้านอื่น ๆ ไม่ว่าจะเป็นรายได้ การศึกษา หรือสุขภาพ คนที่เข้าไม่ถึงข้อมูลก็ยากจะมีเสียงในระบบ คนที่เข้าไม่ถึงเครื่องมือก็ยากจะพัฒนาทักษะ
เมื่อข้อมูลกลายเป็นสิทธิที่ไม่เท่ากัน
ระบบออนไลน์จำนวนมากต้องการข้อมูลเพื่อใช้งาน — ตั้งแต่การสร้างบัญชี การยืนยันตัวตน ไปจนถึงการตั้งค่าความปลอดภัย คนที่ไม่มีบัตรประชาชนดิจิทัล หรือไม่รู้วิธีลงทะเบียน กลับกลายเป็น “คนนอกระบบ” แม้จะอยู่ในเมืองเดียวกัน
เราจะเชื่อม “คน” ให้ถึง “ระบบ” ได้อย่างไร?
การพัฒนาเมืองอัจฉริยะไม่ควรเน้นแค่โครงสร้างพื้นฐานเท่านั้น แต่ต้องลงลึกถึงการสร้างทักษะ การออกแบบที่เข้าใจมนุษย์ และการเปิดโอกาสให้ทุกคนเรียนรู้แบบไม่ถูกทิ้งไว้ข้างหลัง
Smart City ต้องฉลาดที่คน ไม่ใช่แค่เทคโนโลยี
เมืองที่ดีคือเมืองที่ไม่ปล่อยให้ใครตกหล่น ไม่ว่าคนนั้นจะมีสมาร์ตโฟนรุ่นไหน หรือใช้แพ็กเกจอินเทอร์เน็ตราคาเท่าไร
แม้เราจะอยู่กลางเมืองที่คลื่นสัญญาณเต็มไปหมด แต่ถ้าความรู้สึกของ “การเข้าถึง” ยังไม่เกิดขึ้น เครือข่ายเหล่านั้นก็เป็นแค่โครงสร้างว่างเปล่า ความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีจะมีความหมาย เมื่อมันถูกออกแบบให้คนธรรมดาเข้าไปยืนอยู่ในนั้นได้อย่างมั่นใจ