
ในช่วงเดือนมกราคมถึงพฤษภาคม 2025 ประเทศไทยเผชิญการโจมตีทางไซเบอร์มากกว่า 1,000 ครั้ง และแนวโน้มยังคงพุ่งสูงอย่างต่อเนื่อง สิ่งที่น่าจับตาไม่ใช่แค่ “จำนวน” แต่คือ “ความซับซ้อน” ของการโจมตี ที่วันนี้ใช้ AI เป็นเครื่องมือหลัก
จากข้อมูลของหน่วยงานความมั่นคงไซเบอร์ พบว่า 63% ขององค์กรไทยถูกละเมิดข้อมูล และกว่า 52% ต้องจ่ายค่าไถ่ เพื่อกู้ข้อมูลคืน โดยหนึ่งในวิธีการที่พบบ่อยคือ ransomware อัจฉริยะ ที่เรียนรู้พฤติกรรมระบบ และเลือกจุดโจมตีได้อย่างแม่นยำ
AI เปลี่ยนเกมโจมตีอย่างไร?
ในอดีต แฮกเกอร์ต้องเขียนสคริปต์ด้วยตนเองและลองผิดลองถูก แต่ตอนนี้ AI สามารถช่วย “วางแผน” และ “ประเมินจุดอ่อน” ได้แบบเรียลไทม์ เช่น:
-
AI วิเคราะห์ช่องโหว่ของระบบผ่านฐานข้อมูลสาธารณะ
-
สร้างฟิชชิ่งอีเมลที่เหมือนจริงจนแทบแยกไม่ออก
-
ใช้ botnet ที่ควบคุมด้วย AI ในการทำ DDoS ที่เปลี่ยนพฤติกรรมตามระบบที่ถูกโจมตี
บริษัทเล็กก็เสี่ยงไม่แพ้บริษัทใหญ่
หลายคนเข้าใจผิดว่า “ต้องเป็นบริษัทใหญ่เท่านั้นถึงจะโดน” แต่ในความเป็นจริง ธุรกิจ SME และองค์กรท้องถิ่นกลับตกเป็นเป้าหมายบ่อยขึ้น เพราะระบบป้องกันมักไม่แข็งแรง
มีกรณีศึกษาของคลินิกเล็ก ๆ ในกรุงเทพฯ ที่ถูกเข้ารหัสข้อมูลคนไข้ทั้งหมด แล้วถูกเรียกค่าไถ่เป็นเงินดิจิทัล แม้จะจ่ายไปแล้ว ข้อมูลก็ไม่ได้คืนทั้งหมด แถมยังต้องรับมือกับความเสียหายต่อความน่าเชื่อถือ
เราป้องกันตัวได้แค่ไหน?
แม้ภัยไซเบอร์จะดูน่ากลัว แต่เรายังมีทางลดความเสี่ยง เช่น:
- อัปเดตซอฟต์แวร์และระบบอยู่เสมอ
- ใช้รหัสผ่านที่ไม่ซ้ำและมีความซับซ้อน
- เปิดการยืนยันตัวตนสองชั้น (2FA) สำหรับทุกบริการที่สำคัญ
- ฝึกอบรมทีมงานเรื่องการรับมืออีเมลปลอมและภัยทางดิจิทัล
หลายบริษัทเริ่มหันมาใช้ AI ด้านความปลอดภัย (Cybersecurity AI) เช่นเดียวกัน เพื่อสู้กลับกับ AI ของฝั่งแฮกเกอร์ กลายเป็นสงครามที่ฝ่ายไหนปรับตัวช้ากว่า ก็เสี่ยงแพ้ก่อน
AI ไม่ได้ผิด แต่การใช้ AI ด้วยเจตนาร้ายต่างหากที่น่ากังวล ในโลกที่ทุกอย่างเชื่อมโยงกันผ่านอินเทอร์เน็ต เราไม่ควรรอจนโดนก่อนถึงจะเริ่มป้องกัน เพราะภัยไซเบอร์ไม่ได้เลือกเหยื่อจากขนาดองค์กร แต่อาจเลือกจากคนที่ยังไม่รู้ว่าตัวเองตกเป็นเป้าไปแล้ว
แหล่งข้อมูลอ้างอิง:
- สำนักงานพัฒนาธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์ (ETDA)
- ThaiCERT (ศูนย์ประสานงานรักษาความมั่นคงปลอดภัยคอมพิวเตอร์ประเทศไทย)
- รายงาน Global Threat Landscape 2025 โดย ENISA