
เทคโนโลยีสุขภาพล้ำหน้า แต่ใครเข้าถึง?
การแพทย์ยุคใหม่ไม่ได้มีแค่เครื่องมือหรือยา แต่รวมถึง AI, อัลกอริธึม และระบบวิเคราะห์ข้อมูลระดับสูงที่เปลี่ยนทั้งการวินิจฉัยและการดูแล เช่น - **AlphaGenome** ที่ใช้ข้อมูลยีนวิเคราะห์ความเสี่ยงเฉพาะบุคคล - **AI วัดความปวด** ที่อ่านสีหน้าและการเคลื่อนไหวเพื่อประเมินอาการเจ็บ - **MAI‑DxO** ระบบตรวจสุขภาพอัตโนมัติที่พัฒนาโดยนักวิจัยไทยในเวทีโลก นวัตกรรมเหล่านี้ดูน่าทึ่ง แต่คำถามคือ...ใครใช้ได้?
เทคโนโลยีก้าวไปเร็ว แต่ระบบสาธารณสุขก้าวตามทันไหม
แม้มีเทคโนโลยีล้ำหน้าในแวดวงสุขภาพ แต่โรงพยาบาลรัฐส่วนมากยังใช้ระบบเวชระเบียนแบบกระดาษ หรือมีคิวตรวจกินเวลาเกือบครึ่งวัน คนทั่วไปอาจไม่มีโอกาสแม้แต่จะ “รู้จัก” ชื่อ AlphaGenome ด้วยซ้ำ
ตัวอย่างจากระบบ AI วัดความปวด
งานวิจัยด้านปัญญาประดิษฐ์สามารถตรวจจับการแสดงออกของผู้ป่วยที่ไม่สามารถสื่อสารได้ เช่น ผู้ป่วยอัลไซเมอร์ หรือเด็กอ่อน เพื่อประเมินระดับความปวด ซึ่งเป็นสิ่งที่พยาบาลหรือหมอไม่อาจจับได้ตลอดเวลา แต่หากเทคโนโลยีนี้จำกัดอยู่ในโรงพยาบาลเอกชนหรือประเทศพัฒนาแล้ว... คนที่ควรได้ประโยชน์มากที่สุดอาจกลายเป็นคนที่เข้าไม่ถึงเลย
เทคโนโลยีเพื่อใคร? คำถามใหญ่ของยุคสุขภาพดิจิทัล
การที่ AI หรือแพลตฟอร์มสุขภาพใหม่ ๆ เข้ามา ไม่ได้แปลว่าจะช่วยลดความเหลื่อมล้ำโดยอัตโนมัติ เพราะหากไม่มีนโยบายรองรับที่ชัดเจนหรือการออกแบบที่เข้าใจผู้มีข้อจำกัดด้านภาษา การเงิน หรือเทคโนโลยี ก็อาจยิ่งซ้ำเติมช่องว่าง
MAI‑DxO: ตัวอย่างของความพยายามไทย
แม้ยังไม่แพร่หลาย แต่ระบบ MAI‑DxO ที่ใช้ AI ประเมินเบื้องต้นจากการตรวจสุขภาพทั่วไป ถือเป็นก้าวสำคัญของไทยในการออกแบบเทคโนโลยีที่พอจะเข้าถึงได้ แต่คำถามที่ต้องตามมาคือ… รัฐจะสนับสนุนหรือปล่อยให้มันหายไปกับคลื่นนวัตกรรม?
บางครั้งเทคโนโลยีไม่ได้ห่างไกลเกินไป... แต่อาจไม่มีใครยื่นมือพาเราเข้าไปใกล้มันก็ได้
ข้อมูลอ้างอิง
- งานวิจัยจาก National Institutes of Health (NIH)
- โครงการ AlphaGenome Thailand
- IEEE AI in Healthcare Journal
- รายงานพัฒนา MAI‑DxO โดยสถาบันเทคโนโลยีแห่งเอเชีย (AIT)