
เมื่อ Data กลายเป็นทรัพย์สินใหม่ในโลกการเงิน
ในอดีต ระบบการเงินคือโลกของธนาคาร สถาบันเครดิต และกฎเกณฑ์จากรัฐ แต่ในโลกปัจจุบันและอนาคต ข้อมูล (Data) กำลังกลายเป็นทรัพย์สินหลักที่กำหนดพลังต่อรองในการทำธุรกรรมทางการเงิน ไม่ใช่แค่ยอดเงินในบัญชี แต่เป็น "พฤติกรรมการใช้จ่าย, ความเสี่ยงส่วนบุคคล, ความน่าเชื่อถือในระบบ" ที่ถูกวิเคราะห์ผ่านระบบอัตโนมัติและ AI
ธนาคารกำลังถูกท้าทายจากแพลตฟอร์มเทคโนโลยี
เราเห็น Tech Company อย่าง Apple, Google, หรือแม้แต่ Shopee ก้าวเข้ามามีบทบาทในบริการการเงิน ไม่ใช่เพราะมีสาขา แต่เพราะพวกเขา รู้จักผู้ใช้มากกว่า ผ่านข้อมูลที่เรายอมให้ทุกครั้งที่กด “ยอมรับเงื่อนไข” ขณะที่ธนาคารแบบดั้งเดิมยังต้องพึ่งพาเอกสาร KYC หรือเครดิตบูโร แพลตฟอร์มเหล่านี้ใช้พฤติกรรมบนแอปเป็นตัวตัดสินเครดิตทันที
กรณีศึกษา: BNPL (Buy Now Pay Later)
บริการผ่อนชำระทันใจของ Shopee, Lazada หรือ TikTok Shop ไม่ได้ใช้ข้อมูลเครดิตสากล แต่ใช้พฤติกรรมการซื้อและชำระเงินบนแพลตฟอร์มเป็นตัวกำหนดเครดิต เป็นตัวอย่างชัดว่า Data สำคัญกว่าธนาคาร
ใครถือข้อมูลมากกว่า กุมอำนาจมากกว่า
ระบบการเงินในอนาคตอาจไม่ถามว่า “คุณมีเงินเท่าไหร่” แต่ถามว่า “ระบบรู้จักคุณแค่ไหน” และนี่คือเหตุผลว่าทำไมบริษัทยักษ์ใหญ่ถึงแข่งกันสะสม Data: เพราะมันเป็นเครื่องมือสร้าง "อำนาจ"
-
อำนาจในการปล่อยกู้
-
อำนาจในการแนะนำผลิตภัณฑ์ทางการเงิน
-
อำนาจในการกำหนดพฤติกรรมผู้บริโภค
เมื่อผู้คนเริ่มไม่มีบัญชีธนาคาร แต่ยังเข้าถึงเงินได้
ความท้าทายของธนาคารคือ การที่คนรุ่นใหม่อาจไม่เคยเปิดบัญชีธนาคารเลย แต่ยังสามารถโอนเงิน ชำระสินค้า หรือแม้แต่ลงทุนผ่านแอปอื่นได้ทั้งหมด เช่น GrabPay, TrueMoney, หรือ Line Bank และเบื้องหลังทั้งหมดคือระบบข้อมูลที่รู้จักเราได้ “ดีกว่าตัวเราเอง”
การเงินยุคใหม่จึงไม่ใช่แค่เรื่องของตัวเลขในบัญชี แต่เป็นเรื่องของข้อมูล ความน่าเชื่อถือเชิงดิจิทัล และวิธีที่ระบบ “เข้าใจเรา” ใครที่ยังมองโลกการเงินผ่านมุมธนาคารแบบเดิม อาจพลาดพลังกำกับทิศทางในโลกที่ Data คือทรัพย์สินแห่งอนาคต
ข้อมูลอ้างอิง
- McKinsey & Company – The future of payments: https://www.mckinsey.com
- BIS (Bank for International Settlements) – Big Tech in Finance
- IMF – Financial Access Survey Database