
เป็นระลอกใหม่ของการ อัดฉีดภาษีนำเข้า จากสหรัฐฯ ที่อาจส่งผลกระทบรุนแรงต่อไทย หลังจากเมื่อวันที่ 7 กรกฎาคม 2568 ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ออกจดหมายเตือนว่าจะปรับขึ้นอัตราภาษีนำเข้าสินค้าจากไทยถึง 36% เริ่มมีผล 1 สิงหาคม หากยังไม่บรรลุข้อตกลงทางการค้า โดยที่ผ่านมาไทยได้รับการผ่อนผันภาษีที่ 10% มาเป็นเวลา 90 วัน ถือเป็นช่วงเวลาสำคัญในการใช้ กลยุทธ์ทางการทูต เพื่อหลีกเลี่ยงผลกระทบในวงกว้าง
รัฐบาลไทยโดยรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง พีชาย ชุณหวชิร ได้ยื่น ข้อเสนอปรับโครงสร้างการค้า ที่ครอบคลุมหลายด้าน ทั้งการเปิดตลาดให้สินค้าสหรัฐฯ เพิ่มขึ้น ลดส่วนต่างดุลการค้ากว่า 70% ภายใน 5 ปี พร้อมอำนวยความสะดวกในการนำเข้าเครื่องจักร น้ำมัน และสินค้าเกษตร เพื่อหวังให้สหรัฐฯ พิจารณาลดอัตราภาษีลงเหลือไม่เกิน 20% หรือคงไว้ที่ระดับเดิม
ผลกระทบคาดเบื้องต้น หากไม่สามารถตกลงได้ก่อนเส้นตาย 1 สิงหาคม ไทยอาจสูญเสียรายได้จากการส่งออกมากถึง 8–9 แสนล้านบาท โดยเฉพาะในกลุ่มอุตสาหกรรมคอมพิวเตอร์ ยางพารา และเครื่องโทรศัพท์มือถือ ขณะเดียวกันบริษัทข้ามชาติอาจพิจารณาย้ายฐานการผลิตไปยังประเทศเพื่อนบ้านที่ได้รับอัตราภาษีที่ต่ำกว่า เช่น เวียดนาม (20%) ลาว และเมียนมา
ท่าทีของรัฐบาลไทย ยังคงยืนกรานใช้วิธีเจรจาแบบ “give and take” เปิดทางให้นำเข้าสินค้าสหรัฐฯ เพิ่มเติม เช่น เนื้อสัตว์ ไวน์ และอุปกรณ์เทคโนโลยีบางชนิด เพื่อแลกกับสิทธิพิเศษด้านภาษี อย่างไรก็ตาม ภาคธุรกิจยังคงกังวลว่าหากไม่สามารถบรรลุข้อตกลงได้ภายในกรอบเวลาที่กำหนด เศรษฐกิจไทยอาจเผชิญแรงกดดันเพิ่มเติม โดยเฉพาะการขยายตัวทางเศรษฐกิจปีนี้ที่อาจชะลอลงเหลือเพียง 1–2% จากประมาณการเดิมที่ 2.3%
ในขณะที่เวียดนามสามารถเจรจาจนได้สิทธิพิเศษภาษีเพียง 20% ความเปรียบต่างนี้ยิ่งกดดันไทยให้ต้องมีแนวทางที่ชัดเจน รวดเร็ว และโปร่งใสมากขึ้น เพื่อไม่ให้สูญเสียความสามารถในการแข่งขันในตลาดสหรัฐฯ
แม้รัฐบาลยังคงยืนยันเจรจาอย่างเต็มที่ แต่กรอบเวลาอีกไม่ถึงหนึ่งเดือนนี้ คือเส้นแบ่งสำคัญว่าประเทศไทยจะรักษาฐานรายได้ส่งออกและแรงจูงใจนักลงทุนไว้ได้หรือไม่ ท่ามกลางกระแสการค้าโลกที่เริ่มกลับมาแข่งขันกันด้วยภาษีอย่างเข้มข้นอีกครั้ง
อ้างอิง :
- Reuters (Thai‑US trade proposal)
- Bloomberg (trade concessions)
- Reuters/AP (ASEAN meetings & tariff details)
- Nation Thailand / Khaosod English (policy reactions)