
“คนละครึ่ง” จุดเริ่มต้นของการเติมพลังเศรษฐกิจแบบเร่งด่วน
โครงการ "คนละครึ่ง" ถือเป็นหนึ่งในมาตรการรัฐที่ได้รับความนิยมสูงสุดในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา จุดขายของมันคือ “รัฐช่วยจ่ายครึ่งหนึ่ง” ทำให้ประชาชนมีแรงจูงใจในการจับจ่าย ขณะเดียวกันก็ช่วยให้ร้านค้าขนาดเล็กฟื้นตัวจากผลกระทบของโควิด-19 ได้อย่างรวดเร็ว ผลลัพธ์ก็เห็นชัด—ร้านอาหารกลับมาคึกคัก ร้านข้างทางมีลูกค้ามากขึ้น และเงินหมุนเวียนในระบบเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยยะ แต่คำถามที่เริ่มดังขึ้นเรื่อย ๆ ก็คือ...
หรือเราเริ่ม "เสพติด" มาตรการแบบนี้ไปแล้ว?
การอัดฉีดเงินเข้าสู่ระบบเศรษฐกิจอาจทำให้เกิด "ภาพลวงตา" ว่าเศรษฐกิจกำลังดีขึ้น ทั้งที่ความจริงอาจไม่มีการฟื้นตัวแบบยั่งยืนในภาคการผลิตหรือโครงสร้างแรงงานเลย
1. ร้านค้าเติบโตแบบชั่วคราว
ธุรกิจบางส่วนที่พึ่งพาโครงการคนละครึ่ง อาจไม่ได้ปรับปรุงสินค้า บริการ หรือสร้างฐานลูกค้าประจำจริง ๆ แต่รอคอยรอบใหม่ของโครงการ คล้ายกับการ "เสพติดการกระตุ้น"
2. ผู้บริโภคเปลี่ยนพฤติกรรม
คนจำนวนมากเริ่มใช้จ่ายเฉพาะเมื่อมีสิทธิ์รัฐ เช่น กินข้าวนอกบ้านเมื่อมีคนละครึ่ง หรือเลื่อนการซื้อของบางอย่างเพื่อรอรอบถัดไปของโครงการ
3. รัฐบาลอาจชะลอการปฏิรูปโครงสร้าง
ในขณะที่นโยบายเร่งด่วนเช่นนี้เป็นที่นิยม มันอาจกลายเป็นข้ออ้างให้รัฐ "เลื่อน" การแก้ไขปัญหาพื้นฐาน เช่น การปฏิรูประบบภาษี การพัฒนาศักยภาพแรงงาน หรือการยกระดับระบบสาธารณสุข
ความหวานที่ปลายลิ้น หรืออาหารสมองระยะยาว?
แน่นอนว่าโครงการคนละครึ่งมีประโยชน์ในแง่ของการอัดฉีดเงิน แต่คำถามสำคัญคือ — ถ้าเราใช้มาตรการนี้บ่อยเกินไป เราจะยังสามารถแยกแยะได้ไหมว่า "เศรษฐกิจที่ดี" นั้นมาจากแรงขับจริง หรือแค่ถูก “มอมยา” ให้ดูเหมือนดี? นโยบายที่ดีควรเป็นมากกว่าการกระตุ้นพฤติกรรมบริโภคแบบฉับพลัน คำถามคือ...เราพร้อมจะออกจาก “วงจรของความพอใจชั่วคราว” แล้วหรือยัง?