
ถ้าพูดถึงการขึ้นดอกเบี้ย หลายคนอาจคิดว่าเป็นเรื่องไกลตัวของอเมริกา แต่จริง ๆ แล้ว การที่ธนาคารกลางสหรัฐฯ หรือ “เฟด” (Fed) ตัดสินใจตรึงดอกเบี้ยให้อยู่ในระดับสูง ยาวนานกว่าที่เคยคาดการณ์ กลับสร้างแรงกระเพื่อมที่กระทบถึงคนทำมาหากินในอีกซีกโลกหนึ่งด้วย
เฟดขึ้นดอกเบี้ยเพื่ออะไร?
เป้าหมายหลักของเฟดในการขึ้นดอกเบี้ยคือควบคุมเงินเฟ้อ เมื่อค่าครองชีพพุ่งแรง ดอกเบี้ยที่สูงขึ้นจะช่วยชะลอการใช้จ่ายและการกู้ยืม ลดแรงกดดันต่อราคาสินค้าและบริการ ฟังดูเหมือนเป็นมาตรการที่มีเหตุผล แต่ผลข้างเคียงมันแรงกว่าที่หลายคนจะคาดคิด
แล้วประเทศอื่น ๆ เกี่ยวอะไรด้วย?
ระบบการเงินโลกเชื่อมโยงกันอย่างแน่นหนา เงินดอลลาร์ยังคงเป็นสกุลหลักในการค้าระหว่างประเทศและถือครองเงินสำรองของหลายประเทศ เมื่อเฟดขึ้นดอกเบี้ย นักลงทุนจะไหลกลับไปหาดอลลาร์ เพราะได้ผลตอบแทนที่สูงและปลอดภัยกว่า ทำให้ค่าเงินประเทศอื่นอ่อนลง สินค้านำเข้าแพงขึ้น และเงินเฟ้อในประเทศเหล่านั้นก็พุ่งตาม
ลองนึกภาพประเทศกำลังพัฒนาที่ต้องกู้เงินจากต่างประเทศ พอเฟดขึ้นดอกเบี้ย ดอกเบี้ยเงินกู้ก็สูงขึ้นทันที ต้นทุนหนี้สาธารณะก็พุ่งตาม ส่งผลให้รัฐบาลมีงบประมาณน้อยลงในการดูแลประชาชน หรือพัฒนาเศรษฐกิจในประเทศของตัวเอง
แล้วประชาชนอย่างเราได้รับผลกระทบอย่างไร?
แม้ประเทศไทยจะไม่ได้กู้เงินจากเฟดโดยตรง แต่เราอยู่ในระบบเศรษฐกิจโลกที่ผูกโยงกับดอลลาร์ ทั้งราคาน้ำมัน ค่าขนส่ง วัตถุดิบนำเข้า ล้วนมีราคาอิงสกุลเงินดอลลาร์ พอดอลลาร์แข็งขึ้นทุกอย่างก็แพงขึ้นตาม ขณะที่ดอกเบี้ยในประเทศก็ต้องปรับขึ้นตามเพื่อป้องกันการไหลออกของเงินทุน นักลงทุนรายย่อยไปจนถึงคนกู้บ้าน กู้รถ ก็โดนผลกระทบเต็ม ๆ
ฟองสบู่สินทรัพย์กับความเหลื่อมล้ำ
อีกด้านหนึ่งที่เริ่มเห็นชัดขึ้นเรื่อย ๆ คือ ราคาสินทรัพย์ เช่น หุ้น หรืออสังหาฯ เริ่มมีลักษณะเหมือนฟองสบู่ในบางประเทศ เพราะนักลงทุนแห่หาที่พักเงิน ขณะที่ประชาชนทั่วไปกลับเข้าถึงเงินยากขึ้น จึงยิ่งตอกลึกความเหลื่อมล้ำในระบบเศรษฐกิจปัจจุบัน
แล้วเราควรทำยังไงในโลกที่เราไม่ได้กุมคันเร่ง?
ในวันที่ดอกเบี้ยไม่ใช่แค่ตัวเลขของคนมีเงิน แต่กลายเป็นแรงบีบที่ค่อย ๆ กดทับเศรษฐกิจระดับครัวเรือน สิ่งสำคัญคือต้องเข้าใจว่า “การเมืองของเงิน” ไม่ได้เป็นกลาง และเราทุกคนกำลังอยู่ในระบบที่ตัดสินใจจากใครบางคนที่อยู่อีกฟากโลก
เพราะในโลกที่เงินคืออำนาจ การตัดสินใจของคนกลุ่มเล็ก ๆ สามารถเปลี่ยนชีวิตของคนนับล้านได้โดยที่เขาไม่รู้ตัวเลยด้วยซ้ำ
แหล่งข้อมูลอ้างอิง:
- รายงานการประชุม FOMC จาก Federal Reserve
- IMF World Economic Outlook (2024)
- รายงานแนวโน้มเศรษฐกิจโลกจากธนาคารโลก (World Bank)