
ในยุคที่คำว่า “แข่งขัน” กลายเป็นคำธรรมดาในแทบทุกวงการ ไม่ว่าจะการเมือง ธุรกิจ การศึกษา หรือแม้แต่การเป็นคนธรรมดาในสังคม เรากลับต้องแย่งชิงโอกาสกันแทบทุกอย่างตั้งแต่ตื่นเช้าจนเข้านอน
คำถามคือ — ถ้าทุกคนกำลังแข่งขัน แล้วใครคือคนที่ยังอยู่ข้างประชาชน?
เมื่อการแข่งขันแทรกซึมทุกพื้นที่
ลองมองไปรอบตัว คุณอาจเห็นผู้คนแข่งขันกันตั้งแต่การแสดงความคิดเห็นในโซเชียล ไปจนถึงการแย่งสิทธิ์รับวัคซีน หรือการเข้าถึงบริการสาธารณะพื้นฐาน เช่น โรงพยาบาล รัฐบาลท้องถิ่น หรือแม้แต่ระบบขนส่ง
ภาคธุรกิจแข่งขันกันด้วยโปรโมชั่น ภาครัฐแข่งขันกันด้วยนโยบาย ฝ่ายการเมืองแข่งขันกันด้วยคำพูด แต่คนที่อยู่นอกสนามเหล่านั้น — ประชาชน — กลับรู้สึกเหมือน “ผู้ชมที่ต้องจ่ายค่าตั๋วแพงที่สุด”
ใครได้ประโยชน์จากการแข่งขันนี้?
แนวคิดการแข่งขันมีข้อดี เมื่อมันช่วยผลักดันให้เกิดคุณภาพและนวัตกรรม แต่ถ้ามีแต่การแข่งขัน โดยไร้ความร่วมมือหรือความเข้าใจร่วมกัน มันอาจกลายเป็น “เกมที่แพ้ด้วยกันทั้งระบบ”
ตัวอย่างเช่น
-
โรงเรียนเร่งผลักดันให้นักเรียนสอบติดมหาวิทยาลัย โดยวัดจากคะแนนมากกว่าศักยภาพจริง
-
หน่วยงานรัฐบางแห่งรีบออกนโยบายเพื่อเรียกเรตติ้ง แต่ขาดการฟังเสียงของประชาชนอย่างแท้จริง
-
แพลตฟอร์มออนไลน์แข่งขันกันแย่งความสนใจ จนหล่อเลี้ยงข่าวปลอมโดยไม่ตั้งใจ
ความเชื่อมโยงที่ถูกลืม
ในสังคมที่เน้น “ชนะ” มากกว่า “อยู่ร่วม” เราอาจหลงลืมว่า ความยั่งยืนเกิดจากความร่วมมือ ไม่ใช่แค่ผลประโยชน์เฉพาะหน้า
คำว่า “รัฐสวัสดิการ” หรือ “บริการสาธารณะ” ในหลายประเทศ กลายเป็นแนวคิดสำคัญเพื่อประคองสมดุลของระบบที่แข่งขันกันสูงเกินไป เช่น
-
ประเทศในแถบสแกนดิเนเวียให้ความสำคัญกับความเสมอภาค แม้จะมีการแข่งขันในตลาดแรงงานสูง
-
ประเทศญี่ปุ่นมีระบบรองรับผู้สูงอายุที่เข้มแข็ง แม้ภาคธุรกิจจะเข้มข้นมาก
บางทีคำถามสำคัญอาจไม่ใช่แค่ว่า “ใครอยู่ข้างประชาชน?”
แต่คือ — “เราจะออกแบบสังคมให้มีคนยืนอยู่ข้างกันได้อย่างไร ท่ามกลางโลกที่ไม่หยุดแข่งขัน”
บางคำตอบอาจไม่มาจากด้านบน แต่อยู่ในมือของเราทุกคน
แหล่งข้อมูลอ้างอิง
- OECD (2023), “Government at a Glance”
- United Nations Human Development Report (2022)
- รายงานสภานโยบายเศรษฐกิจแห่งชาติ: แนวทางรัฐสวัสดิการในเอเชียตะวันออก