
ชีวิตประจำวันของเราถูกกำหนดด้วยปัจจัยมากมายที่มองไม่เห็น — ตั้งแต่ราคาข้าวของที่ตลาด ไปจนถึงตัวเลขเงินเดือนที่ไม่ขยับขึ้นเลยมาหลายปี ทั้งหมดนี้ไม่ได้เกิดขึ้นแบบสุ่ม ๆ แต่เชื่อมโยงกับ “นโยบายสาธารณะ” ที่ถูกกำหนดไว้โดยที่ประชาชนหลายคนแทบไม่มีโอกาสได้รู้ ได้เข้าใจ หรือได้มีส่วนร่วม
ลองนึกถึงค่าแรงขั้นต่ำที่ดูเหมือนเป็นเรื่องของภาคแรงงาน แต่จริง ๆ แล้วเกี่ยวพันกับการเมือง เศรษฐกิจ และแม้แต่การเจรจากับภาคธุรกิจ หากนโยบายค่าจ้างถูกกำหนดโดยคนไม่กี่กลุ่ม ที่ไม่ได้ฟังเสียงของแรงงาน หรือไม่เข้าใจต้นทุนชีวิตจริง — ความไม่แน่นอนก็จะตกอยู่ที่ปลายทางของห่วงโซ่ นั่นคือประชาชน
ในขณะเดียวกัน ราคาสินค้าหลายอย่างก็ขยับขึ้นโดยที่เราแทบไม่รู้ว่าเพราะอะไร น้ำมันแพงขึ้น ค่าขนส่งเพิ่มขึ้น แล้วทำไมบางประเทศกลับคุมราคาได้ แต่ของเรากลับปล่อยให้ตลาดเป็นคนตัดสิน? คำตอบอยู่ที่ "นโยบายควบคุมราคา" ซึ่งในบางครั้งไม่มีความชัดเจน หรือถูกแทรกแซงด้วยผลประโยชน์ซ้อน
อีกตัวอย่างที่ใกล้ตัวคือ นโยบายด้านสาธารณสุขหรือการศึกษา ที่หลายคนเจอผลกระทบแบบไม่ทันตั้งตัว เช่น โรงพยาบาลรัฐที่ขาดงบประมาณ ทำให้บริการไม่เพียงพอ หรือการปรับหลักสูตรการเรียนที่ไม่ถามความเห็นครูและนักเรียนก่อน นี่คือตัวอย่างของ “ความไม่แน่นอน” ที่เกิดจากการตัดสินใจเชิงนโยบาย โดยไม่มีการมีส่วนร่วม
เราจึงควรถามตัวเองให้ชัดขึ้นในยุคนี้ — เราอยากเป็นประชาชนที่รอรับผลของนโยบาย หรืออยากเป็นประชาชนที่ร่วมตั้งคำถามและร่วมออกแบบมัน?
ในโลกที่ข้อมูลเดินทางเร็ว แต่นโยบายยังปิดบังได้ — ความไม่แน่นอนจึงไม่ใช่เรื่องบังเอิญ แต่คือผลลัพธ์ของกระบวนการที่ไม่มีใครส่องไฟไปดู ความหวังจึงอาจไม่ได้อยู่ที่การเปลี่ยนคนในตำแหน่ง แต่คือการเปลี่ยนมุมมองของคนธรรมดาที่จะไม่ปล่อยให้ "เรื่องไกลตัว" กลายเป็นเรื่องที่เปลี่ยนชีวิตเราโดยไม่รู้ตัว