
เราได้ยินคำว่า "Work-life balance" บ่อยครั้งในคอนเทนต์พัฒนาตัวเอง โฆษณาสมัครงาน หรือแม้แต่ในแผ่นประกาศรับสมัครพนักงานของบริษัทที่พยายามขายภาพลักษณ์ว่าทำงานสบาย ชีวิตดี มีเวลาพัก แต่คำนี้ยังใช้ได้จริงกับทุกคนหรือเปล่า?
คำว่า “สมดุล” ที่คนไม่เคยมีสิทธิ์เลือก
ลองคิดดูว่า คุณจะบาลานซ์งานกับชีวิตยังไง หากทำงานวันละ 12 ชั่วโมง ได้ค่าจ้างขั้นต่ำ และต้องเดินทางกลับบ้าน 2 ชั่วโมงทุกวัน? หรือคุณแม่เลี้ยงเดี่ยวที่ทำงานกะกลางคืน เพราะเป็นงานเดียวที่รับคนไม่มีวุฒิสูง จะหาเวลา “บาลานซ์” กับชีวิตยังไง?
หลายคนไม่มีสิทธิ์แม้แต่จะเลือกเวลานอน ไม่ใช่เพราะขี้เกียจจัดเวลา แต่เพราะชีวิตมันไม่เปิดทางให้จัดเลยตั้งแต่แรก
Work-life balance เป็นสิทธิ์ ไม่ใช่โบนัส
สิ่งที่น่าเศร้าคือ สังคมมักทำให้เราเข้าใจว่า Work-life balance เป็นสิ่งที่ต้อง "พยายามสร้างเอง" แทนที่จะพูดถึงว่า มันควรเป็น สิทธิพื้นฐานที่ระบบควรสนับสนุน เช่น ค่าจ้างที่เป็นธรรม ชั่วโมงทำงานที่เหมาะสม สิทธิในการลางานโดยไม่ต้องกลัวถูกไล่ออก ฯลฯ
ประเทศในยุโรปหลายแห่ง เช่น สวีเดน ฝรั่งเศส เยอรมนี มีกฎหมายควบคุมชั่วโมงทำงานและให้สิทธิลางานแบบมีค่าจ้างอย่างเคร่งครัด เพราะพวกเขาเข้าใจว่า สมดุลชีวิตที่ดีไม่ใช่เรื่องส่วนบุคคลอย่างเดียว แต่คือหน้าที่ของสังคมร่วมกัน
ถ้าไม่มีอำนาจต่อรอง เราก็แค่ “อยู่ให้รอด”
คนจำนวนมากไม่มีอำนาจต่อรองกับนายจ้าง ไม่สามารถเปลี่ยนงานได้ตามใจ หรือไม่มีเงินสำรองเพียงพอจะลาออกมาหางานใหม่ ชีวิตจึงกลายเป็นการ "ประคอง" ไม่ใช่การ "บาลานซ์"
และเมื่อนายจ้างบางรายใช้คำว่า “Work-life balance” เป็นแค่กลยุทธ์การตลาด โดยไม่มีการสนับสนุนจริง ๆ มันก็ยิ่งทำให้คำนี้กลายเป็นเพียงฝันกลางวันของใครบางคน
ในโลกที่คนจำนวนมากไม่มีแม้แต่เวลาหายใจ การพูดถึง Work-life balance โดยไม่พูดถึง “โครงสร้างของโอกาส” ก็อาจเป็นแค่การซ้ำเติม
เพราะงั้น ถ้าใครพูดกับคุณว่า “ลองจัดเวลาให้ดี ๆ สิ” อย่าเพิ่งรู้สึกผิดกับตัวเอง — แต่ลองตั้งคำถามกลับไปว่า “ฉันมีทางเลือกจริง ๆ หรือเปล่า?”
แหล่งข้อมูลประกอบ
- International Labour Organization (ILO): https://www.ilo.org
- OECD Better Life Index: https://www.oecdbetterlifeindex.org