
“แม่ค้าออนไลน์” — คำที่ครั้งหนึ่งเคยเป็นเพียงคำเรียกเล่น ๆ บนโลกโซเชียล แต่วันนี้ กลายเป็นฟันเฟืองสำคัญในระบบเศรษฐกิจของประเทศอย่างปฏิเสธไม่ได้
ลองจินตนาการว่า ในแต่ละวัน มีผู้หญิงไทยจำนวนไม่น้อยที่ใช้มือถือเพียงเครื่องเดียวเปิดร้าน ขายของ ส่งของ ตอบลูกค้า และบริหารธุรกิจจากบ้านของตัวเอง รายได้ที่หมุนเวียนจากธุรกิจเหล่านี้สะท้อนให้เห็นว่า เศรษฐกิจดิจิทัลไม่จำเป็นต้องเริ่มจากองค์กรใหญ่หรือแพลตฟอร์มระดับโลกเสมอไป
แต่คำถามสำคัญคือ... แล้วในแผน Digital Economy ระดับชาติที่รัฐบาลวางไว้ มีที่ว่างสำหรับแม่ค้าออนไลน์แค่ไหน?
Digital Economy ไม่ได้แปลว่าเทคโนโลยีล้ำหน้าอย่างเดียว
แนวคิดเศรษฐกิจดิจิทัลของไทย มักพูดถึง Big Data, AI, IoT, Smart City ฯลฯ ซึ่งฟังดูยิ่งใหญ่ แต่บางครั้งก็ดูไกลตัวจากชีวิตแม่ค้าออนไลน์ที่ต้องส่งของให้ทันในตอนเย็น หรือไลฟ์สดแข่งกับเวลาและอัลกอริทึมของแพลตฟอร์ม
ในทางกลับกัน แม่ค้าออนไลน์หลายคนกลับกลายเป็น “นักทดลองนโยบายจริง” โดยไม่รู้ตัว เช่น
-
ใช้ระบบพร้อมเพย์และ e-wallet ตั้งแต่ยุคแรก ๆ
-
ทำโฆษณาบนแพลตฟอร์มแบบรู้ใจลูกค้า
-
จัดการโลจิสติกส์แบบเรียลไทม์
ซึ่งทั้งหมดนี้ คือพฤติกรรมเศรษฐกิจดิจิทัลแท้ ๆ ที่ภาครัฐควรนำมาวิเคราะห์และสนับสนุน
สิ่งที่แม่ค้าออนไลน์ต้องการจริง ๆ
การพัฒนาเศรษฐกิจดิจิทัลไม่ใช่แค่เรื่องของเทคโนโลยี แต่มันคือ การสร้างระบบนิเวศที่เอื้อต่อผู้เล่นตัวเล็ก ซึ่งรวมถึง:
-
เข้าถึงเงินทุนได้ง่ายขึ้น
-
ระบบขนส่งที่เชื่อมโยงดีและโปร่งใส
-
การอบรมทักษะดิจิทัลที่ใช้งานได้จริง
-
การปกป้องสิทธิผู้ประกอบการรายย่อยในแพลตฟอร์มใหญ่
หากไม่มีแม่ค้าออนไลน์...
ลองคิดดูว่าเศรษฐกิจช่วงโควิดจะยืนหยัดได้อย่างไร หากไม่มีแม่ค้าออนไลน์ที่ปรับตัวขายหน้ากาก เจลล้างมือ อาหารแห้ง หรือเสื้อผ้าออนไลน์แทนหน้าร้าน
แม่ค้าออนไลน์จึงไม่ใช่ “กลุ่มเปราะบาง” ที่ต้องการความช่วยเหลือ แต่คือ “กลุ่มเปลี่ยนเกม” ที่รัฐต้องเริ่มมองเห็นศักยภาพ และดึงเข้ามามีส่วนร่วมในนโยบายอย่างจริงจัง
บางทีสิ่งที่เศรษฐกิจดิจิทัลไทยต้องการ ไม่ใช่แค่อีโคซิสเต็มที่ฉลาดขึ้น แต่คือการ ฟังเสียงของผู้เล่นตัวจริง ที่อยู่หน้าจอมือถือทุกวัน และกำลังเปลี่ยนวิธีทำมาหากินในประเทศนี้ไปตลอดกาล