
หลังจากที่ไทยและสหรัฐฯ เปิดโต๊ะเจรจาการค้าระหว่างประเทศมาหลายรอบ ล่าสุดมีข่าวดีว่าข้อตกลงด้านภาษีนำเข้า–ส่งออกกำลังก้าวหน้าไปอีกขั้น โดยมีแนวโน้มว่าภาษีที่เคยตั้งไว้ในระดับสูงจะถูกลดลงเหลือเพียง 10% เท่านั้น
การเคลื่อนไหวครั้งนี้เป็นส่วนหนึ่งของการผลักดันนโยบายการค้าเสรี (Free Trade) ที่ทั้งสองฝ่ายต่างมีผลประโยชน์ร่วมกัน โดยเฉพาะในยุคที่เศรษฐกิจโลกต้องปรับตัวจากภาวะเงินเฟ้อและความไม่แน่นอนด้านห่วงโซ่อุปทาน
ที่ผ่านมา สหรัฐถือเป็นหนึ่งในประเทศคู่ค้าหลักของไทย ทั้งในภาคอุตสาหกรรมชิ้นส่วนยานยนต์ อิเล็กทรอนิกส์ อาหารแปรรูป และสินค้าเกษตร โดยการลดภาษีนำเข้า–ส่งออกในครั้งนี้ จะช่วยเสริมศักยภาพการแข่งขันให้กับผู้ประกอบการไทย ขณะเดียวกัน ผู้บริโภคในสหรัฐก็จะสามารถเข้าถึงสินค้าคุณภาพจากไทยในราคาที่จับต้องได้มากขึ้น
ตัวอย่างที่เห็นได้ชัด เช่น สินค้าประเภทอาหารทะเลแช่แข็งที่เคยถูกเก็บภาษีสูงถึง 20% หากลดลงเหลือ 10% ย่อมส่งผลให้ราคาปลายทางลดลง ผู้บริโภคได้ประโยชน์ทันที และในฝั่งไทย ก็มีโอกาสขยายตลาดเพิ่มขึ้นในอัตราเร่ง
ความคืบหน้านี้ยังสอดรับกับเป้าหมายของรัฐบาลไทย ที่ต้องการขยายตลาดการส่งออกให้เข้าถึงสหรัฐในระดับลึกมากขึ้น โดยไม่ต้องเผชิญข้อจำกัดจากกำแพงภาษีเหมือนในอดีต
แม้ว่าการเจรจาจะยังไม่แล้วเสร็จสมบูรณ์ แต่การได้ข้อยุติในระดับ 10% ก็ถือเป็น “สัญญาณบวก” ที่ทั้งนักธุรกิจและนักลงทุนไม่ควรมองข้าม
ถ้าดีลนี้ปิดได้จริง การค้าไทย–สหรัฐอาจไม่ใช่แค่เรื่องของตัวเลขอีกต่อไป แต่คือประตูใหม่สู่การเติบโตในโลกที่แข่งขันกันด้วยโอกาส ใครจะคว้าได้ก่อน ก็อยู่ที่ความพร้อมจะเดินเกมให้ไวและไกลกว่าเดิม
แหล่งข้อมูลอ้างอิง:
- กรมเจรจาการค้าระหว่างประเทศ (DITP)
- สำนักงานผู้แทนการค้าสหรัฐ (USTR)
- รายงานสรุปเวทีความร่วมมือด้านการค้าไทย–สหรัฐ ครั้งล่าสุด