
เมื่อ “การให้” ไม่ได้ฟรี — แล้วใครได้อะไรกันแน่?
ช่วงหลายปีที่ผ่านมา เราเห็นนโยบายแจกเงินเกิดขึ้นถี่ขึ้น ไม่ว่าจะเป็นเงินเยียวยา เงินสวัสดิการ หรือกระเป๋าเงินดิจิทัลเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ แต่เบื้องหลัง “ความใจดี” ของรัฐหรือองค์กร อาจซ่อนอยู่ด้วยสิ่งที่สำคัญกว่า “จำนวนเงิน” เสมอ นั่นคือ “ข้อมูล”
ตัวอย่างล่าสุด: กระเป๋าเงินดิจิทัล
โครงการแจกเงินผ่านแอป ไม่เพียงช่วยกระตุ้นการใช้จ่าย แต่ยังเปิดทางให้รัฐเข้าถึงข้อมูลผู้ใช้อย่างแม่นยำ ทั้งพฤติกรรมการใช้เงิน พื้นที่ที่มีการใช้งาน ความถี่ในการใช้ ไปจนถึงสถานะทางเศรษฐกิจของแต่ละบุคคล
“ข้อมูล” คือทรัพย์สินที่แพงกว่าเงิน
ในโลกยุคดิจิทัล การเก็บข้อมูลไม่ใช่แค่ทำเพื่อสถิติอีกต่อไป แต่กลายเป็น “พลังอำนาจ” ที่ใช้ในการวางแผน นำเสนอ หรือแม้แต่ควบคุม
แค่กรอกแบบฟอร์ม ก็เผยไลฟ์สไตล์ทั้งชีวิต
แบบฟอร์มลงทะเบียนที่เรากรอกเพื่อรับสิทธิ์ มักไม่ได้จำกัดแค่ชื่อ-นามสกุล แต่รวมถึงอาชีพ รายได้ ที่อยู่ หมายเลขโทรศัพท์ ไปจนถึงข้อมูลการเชื่อมต่อกับอุปกรณ์อื่น ๆ หากเชื่อมต่อกับแอปหรือแพลตฟอร์มของรัฐ
มิติของอำนาจ: ใคร “รู้จัก” ประชาชนมากกว่า คือผู้ได้เปรียบ
เมื่อรัฐรู้ว่าใครอยู่ที่ไหน ใช้เงินอย่างไร และมีพฤติกรรมแบบไหน การควบคุมนโยบายหรือการเสนอสิทธิ์แบบเจาะจงย่อมทำได้เฉียบคมขึ้น
แล้วประชาชนได้อะไรจริง ๆ?
การแจกเงินอาจสร้างประโยชน์ในระยะสั้น โดยเฉพาะในสถานการณ์ฉุกเฉิน แต่คำถามที่ใหญ่กว่าคือ “ใครได้มากกว่ากัน?” เพราะในขณะที่คนส่วนใหญ่รับเงินไม่กี่พัน รัฐหรือองค์กรอาจได้ “ภาพรวมของประชากร” ทั้งประเทศกลับไปในคราวเดียว
สิทธิในข้อมูลส่วนตัว อยู่ตรงไหน?
แม้จะมีการออกกฎหมายเกี่ยวกับข้อมูลส่วนบุคคล (PDPA) แต่ในหลายกรณี การเข้าถึงและการจัดเก็บข้อมูลจำนวนมากยังเกิดขึ้นโดยที่ผู้ใช้ไม่สามารถควบคุมได้ทั้งหมด
อาจไม่มีสูตรสำเร็จว่าการแจกเงินนั้นดีหรือร้ายเสมอไป แต่สิ่งที่ควรถามทุกครั้งคือ เรากำลังได้โอกาส หรือถูกเก็บ “ตัวตน” เพื่อให้อยู่ในระบบที่คุมได้ง่ายขึ้นกันแน่... เพราะบางครั้ง สิ่งที่ได้กลับมา อาจมากกว่าที่เราเต็มใจจะให้
ข้อมูลอ้างอิง
- ข้อมูลจากนโยบายกระเป๋าเงินดิจิทัลของรัฐบาลไทย
- งานวิจัยเกี่ยวกับ Data Ownership จาก World Economic Forum
- แนวทางการเก็บข้อมูลของรัฐบาลในโครงการ Digital ID (UNDP)