ไม่อยากถูกติดตาม ต้องปิดอะไรในมือถือ?
คุณอาจไม่ได้เปิดแชร์ตำแหน่ง…แต่แอปก็ยังรู้ว่าคุณอยู่ที่ไหน
เพราะในยุคนี้ “มือถือ” คือเครื่องมือติดตามที่แนบเนียนที่สุดในชีวิต
มือถือถูกติดตามได้ยังไง?
มือถือของเรามี หลายระบบที่เปิดเผยข้อมูลส่วนตัวแบบไม่รู้ตัว เช่น:
- ตำแหน่ง GPS
- ข้อมูล Wi-Fi, Bluetooth, Cellular
- การใช้งานแอป – นานแค่ไหน ดูอะไรบ้าง
- Microphone/Camera Permission
- Ad ID (รหัสโฆษณาเฉพาะบุคคล)
ข้อมูลเหล่านี้ถูกเก็บโดยทั้งระบบปฏิบัติการ (iOS, Android), แอปโซเชียล, แอปโฆษณา และบางครั้งแม้แต่ “แอปฟรี” ก็ตาม
วิธีปิดการติดตามบนมือถือ (Android / iPhone)
ปิด Location Tracking
- Android:
การตั้งค่า → ความเป็นส่วนตัว → การอนุญาตตำแหน่ง → เลือก “ไม่อนุญาต” สำหรับแอปที่ไม่จำเป็น
- iPhone:
Settings → Privacy & Security → Location Services → เลือก “Never” หรือ “Ask Next Time”
ปิดโฆษณาติดตามพฤติกรรม (Ad Tracking)
- Android:
การตั้งค่า → Google → โฆษณา → ปิด “ปรับแต่งโฆษณาตามความสนใจ”
- iPhone:
Settings → Privacy & Security → Tracking → ปิด “Allow Apps to Request to Track”
ปิด Bluetooth/Wi-Fi Scanner ที่ใช้ระบุตำแหน่ง
แม้จะไม่ได้เปิด Wi-Fi ก็ยังถูกสแกนได้:
- Android: ไปที่
การตั้งค่า → ตำแหน่ง → การสแกน → ปิด “Wi-Fi scanning” และ “Bluetooth scanning”
ใช้เบราว์เซอร์แบบไม่ติดตาม (เช่น Brave, DuckDuckGo)
ช่วยป้องกันการติดตามขณะเข้าเว็บหรือค้นหาข้อมูล
สิทธิความเป็นส่วนตัวมีจริงไหม?
คนไทยมีสิทธิตาม “พ.ร.บ.คุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล” (PDPA)
ซึ่งกำหนดว่าแอป/เว็บไซต์ต้องขออนุญาตก่อนเก็บข้อมูล
หากไม่ยินยอม เรามีสิทธิ “ไม่ให้ติดตาม” และ “ขอลบข้อมูลได้”
แต่สิทธิจะมีค่า…เมื่อเราเข้าใจและกล้าใช้มัน
สิ่งที่อยากฝากไว้
- มือถือเก็บข้อมูลมากกว่าที่เราคิด ตั้งแต่ตำแหน่งไปจนถึงพฤติกรรม
- เราสามารถ “เลือกได้” ว่าจะแชร์ข้อมูลแค่ไหน
- แค่ปรับการตั้งค่าหลักๆ ก็ลดการติดตามได้มาก
- รู้สิทธิของตัวเองภายใต้ PDPA เพื่อปกป้องข้อมูลส่วนตัว