
ปรากฏการณ์: AI กลายเป็น “ทรัพย์สิน” มากกว่า “ความรู้”
ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา การแข่งขันด้าน AI ไม่ได้จำกัดอยู่แค่เรื่องความสามารถของโมเดล หรือความล้ำหน้าทางวิทยาการ แต่เริ่มกลายเป็นสงครามของการ “ถือครองสิทธิ์” และ “ควบคุมการใช้” ข่าวล่าสุดที่ Google เข้าซื้อกิจการ Windsurf AI ซึ่งเป็นสตาร์ทอัปที่เคยถูกหมายตาโดย OpenAI แต่ถูก Microsoft คัดค้าน กลายเป็นหลักฐานชิ้นใหม่ว่า การเป็นเจ้าของโมเดล AI คือเดิมพันที่ใหญ่กว่าแค่การพัฒนา
สาเหตุ: จากพันธมิตรสู่คู่แข่ง — Microsoft กับ OpenAI เริ่มมีรอยร้าว
OpenAI ไม่ใช่ของทุกคนอีกต่อไป
เดิมที OpenAI ถูกก่อตั้งขึ้นในฐานะองค์กรไม่แสวงกำไร เพื่อผลักดัน AI เพื่อมนุษยชาติ แต่การเข้ามาของ Microsoft ด้วยเงินลงทุนหลายหมื่นล้านดอลลาร์ เปลี่ยนทิศทางองค์กรอย่างเห็นได้ชัด
ความตึงเครียดจาก “สิทธิการใช้งาน”
แม้จะเป็นพันธมิตรกัน แต่ OpenAI ก็เริ่มทดลองเปิดให้บริษัทอื่นเข้าถึงเทคโนโลยี GPT โดยไม่ผ่าน Azure ของ Microsoft ส่งผลให้ Microsoft เริ่ม “กันพื้นที่” ทั้งเชิงเทคนิคและเชิงกฎหมาย
ผลกระทบ: เมื่อ AI ถูกผูกขาด โลกจะยิ่งเหลื่อมล้ำ
ข้อมูลไม่ใช่ของทุกคนอีกต่อไป
ยิ่งบริษัทใดยิ่งถือครองโมเดลหรือโครงสร้างพื้นฐานที่ใช้เทรน AI ได้มากเท่าไร ก็ยิ่งสามารถ “จำกัดการเข้าถึง” หรือกำหนดทิศทางการใช้งานได้ตามใจ
ประชาชนอาจตกเป็นเพียง “ผู้ใช้” ไม่ใช่ “ผู้ควบคุม”
ในโลกที่มีแต่ 4–5 บริษัทใหญ่ควบคุมปัญญาประดิษฐ์ระดับสูง การใช้ AI อย่างเสรีหรือเพื่อประโยชน์สาธารณะจะถูกเบียดให้อยู่ชายขอบ
ทางออก: ควรเปลี่ยนเป้าหมายจาก “ใครครอบครอง” เป็น “ใครใช้ประโยชน์ร่วม”
AI Open Source ต้องไม่ถูกกลืน
ความเคลื่อนไหวจากกลุ่มโอเพ่นซอร์ส เช่น Hugging Face หรือ Mistral อาจเป็นแรงต้านสำคัญของการผูกขาดข้อมูล
ต้องมีการกำกับจากภาคสาธารณะและชุมชน
ไม่ว่าจะผ่านกฎหมาย หรือกลไกความโปร่งใสจากสื่อและนักวิจัยอิสระ สิ่งเหล่านี้ต้องเกิดควบคู่กับการพัฒนา เพื่อไม่ให้โลก AI อยู่ในมือไม่กี่คน
บางที การพัฒนา AI ที่แท้จริงอาจไม่ใช่การวิ่งเข้าเส้นชัยก่อนใคร แต่คือการชวนให้ “คนอื่นวิ่งไปด้วยกันได้” ต่างหาก