
70% คือเส้นแดงจริงหรือ?
ตัวเลข “70% ของ GDP” มักถูกพูดถึงว่าเป็นจุดเสี่ยงของหนี้สาธารณะ แต่แท้จริงแล้วมันไม่ใช่เส้นตายตายตัว เป็นเพียง “กรอบวินัยการคลัง” ที่รัฐบาลไทยตั้งไว้เอง เพื่อป้องกันการก่อหนี้เกินควบคุม หลายประเทศมีหนี้สาธารณะสูงกว่านี้ เช่น ญี่ปุ่น (เกิน 200%) หรือสหรัฐฯ (มากกว่า 100%) แต่ก็ยังบริหารจัดการได้ เพราะมีเศรษฐกิจขนาดใหญ่และน่าเชื่อถือในตลาดการเงินโลก
แล้วทำไมเราถึงต้องใส่ใจ?
เพราะเศรษฐกิจไทยไม่ได้แข็งแกร่งเท่าประเทศเหล่านั้น หนี้ที่สูงเกินไปอาจกระทบต่อ:
- ความเชื่อมั่นของนักลงทุน
- ค่าเงินบาท
- ต้นทุนดอกเบี้ยที่รัฐบาลต้องจ่ายจากภาษีประชาชน
- งบประมาณที่ควรใช้เพื่อพัฒนา กลับต้องนำไปชำระหนี้
ทำไมหนี้ถึงเพิ่มขึ้น?
1. รายจ่ายเกินรายรับ
ไทยมีงบประมาณขาดดุลต่อเนื่องมาหลายปี — รัฐใช้เงินมากกว่าที่เก็บภาษีได้ จึงต้องกู้มาโปะช่องว่าง
2. ค่าใช้จ่ายด้านสวัสดิการเพิ่มขึ้น
จากสังคมสูงวัย และโครงการช่วยเหลือต่าง ๆ เช่น บัตรสวัสดิการแห่งรัฐ หรือเงินอุดหนุนต่าง ๆ
3. ผลกระทบจาก COVID-19
ช่วงปี 2020–2022 รัฐบาลต้องกู้เงินจำนวนมากเพื่อพยุงเศรษฐกิจ ไม่ให้พังทลายจากการล็อกดาวน์และผลกระทบทางเศรษฐกิจ
มีหนี้แล้วจะแย่เสมอไปหรือเปล่า?
ถ้ากู้เพื่อ “ลงทุน” ไม่ใช่ “บริโภค” — หนี้ก็มีประโยชน์
การกู้เงินเพื่อสร้างโครงสร้างพื้นฐาน เช่น รถไฟฟ้า โรงเรียน โรงพยาบาล หรือเทคโนโลยีใหม่ ๆ จะสร้างผลตอบแทนทางเศรษฐกิจในระยะยาว แต่ถ้ากู้มาเพื่อแจกชั่วคราว หรือแก้ปัญหาเฉพาะหน้าโดยไม่มีแผนฟื้นฟู — จะกลายเป็น “หนี้เสีย” ที่ต้องจ่ายดอกเบี้ยโดยไม่มีผลผลิตตอบแทน
คนธรรมดาควรทำตัวยังไงในช่วงแบบนี้?
1. จับตานโยบายการคลัง
อย่าเพิ่งดีใจหากรัฐแจกเงินมาก ๆ โดยไม่มีการพูดถึงรายได้ที่จะนำมาชดเชย เพราะในที่สุด อาจต้องกลับมาจ่ายในรูปภาษี หรืออัตราดอกเบี้ยที่สูงขึ้น
2. วางแผนการเงินให้ยืดหยุ่น
หนี้สาธารณะสูงอาจส่งผลทางอ้อมต่อค่าครองชีพ หรือโอกาสในการลงทุน ควรมีเงินสำรอง และคิดระยะยาวในการใช้จ่ายหรือกู้ยืม
3. รู้ทัน แต่ไม่ต้องตื่นตระหนก
เข้าใจสถานการณ์เชิงระบบ ไม่ตัดสินจากพาดหัวข่าว เพราะ “ความกังวล” ที่มากเกินไป อาจทำให้เราตัดสินใจผิดพลาดมากกว่าปล่อยให้ตัวเลขทำหน้าที่ของมัน สุดท้าย…ตัวเลข 70% อาจดูน่ากลัว แต่สิ่งที่สำคัญกว่าคือ “คุณภาพของการใช้หนี้” เพราะหนี้ก็เหมือนมีด — อยู่ที่ว่ารัฐบาลจะใช้มันผ่าตัดเศรษฐกิจ หรือทำให้บาดเจ็บกันเองโดยไม่ตั้งใจ