"ปาเกียว" ไม่รอสายขอหยุดคดี "ทนายตั้ม" เบื้องหลังรู้สึกตัวโดนษิทราหลอก-ปิดความจริง ** พิพาท“เขากระโดง โกงแผ่นดิน” ถูกพรรคเพื่อไทย-ภูมิใจไทย เอามาเล่นเกมต่อรองการเมือง

เผยแพร่ : 25 พ.ย. 2567 07:59:04
X
• ปาเกียวไม่รอหมายศาล ขอถอนตัวจากคดีความกับทนายตั้ม
• ปาเกียวอ้างเบื้องหลังรู้สึกโดนษิทรา หลอกและปิดบังความจริงบางอย่างเกี่ยวกับคดี
• ความขัดแย้งเรื่อง "เขากระโดง โกงแผ่นดิน" ถูกนำไปใช้เป็นเครื่องมือต่อรองทางการเมืองโดยพรรคเพื่อไทยและพรรคภูมิใจไทย

ข่าวปนคน คนปนข่าว

++ "ปาเกียว" ไม่รอสายขอหยุดคดี "ทนายตั้ม" เบื้องหลังรู้สึกตัวโดนษิทราหลอก-ปิดความจริง

ไปดีกว่า ถอยดีกว่า ถ้าไม่มีอะไรมาฉุด สายหยุด เพ็งบุญชู "ทนายปาเกียว" ทนายผู้มีใบหน้าคล้ายนักมวยชื่อก้องโลกจะประกาศถอนตัวจากการเป็นทนายความให้ "ทนายตั้ม" ษิทรา เบี้ยบังเกิด

ฟังว่า “ทนายสายหยุด” เลือกที่จะไปออกรายการโหนกระแสของ "หนุ่ม-กรรชัย" เพื่อบอกกล่าวกับสังคม

ถามว่า อะไรเป็นเหตุเบื้องหลังที่ทำให้ “ทนายปาเกียว” ไม่รอให้สายก็ขอหยุด!

ว่ากันว่า “ทนายสายหยุด” มาว่าความให้ “ทนายตั้ม”ก็เพราะรู้จักมักคุ้นกัน และ ด้วยความเคยเป็นทนายความในสังกัด ษิทราลอว์เฟิร์ม

ช่วงรับว่าความ คดี 71 ล้านฉ้อโกง "พี่อ้อย" จตุพร อุบลเลิศ แรกๆ โกยแต้มจากมหาชนโหนกระแส เพราะวาจาหนักแน่น แม่นกฎหมาย แต่พอเวลาผ่านคดีของลูกความยิ่งมาก็ยิ่งมากขึ้น เพราะ "ฉ้อโกงโดยสันดาน"

ขณะที่กระแสสังคมได้รับรู้พฤติการณ์ทนายดัง ข้อมูลเกี่ยวกับคดีนี้ ยิ่งไหลลึก

หาก “สายหยุด” ไม่หยุดก็จะกลายเป็น “ทนายสายโจร” ไปโดยสังคมแต่งตั้งให้

ตราหน้าชี้มาที่ตัวเองว่า เป็นทนายที่ใช้กฎหมายไม่คำนึงถึง "จริยธรรม-ศีลธรรม"

ใครจะหน้าด้าน หน้าทน “สายหยุด”ก็ไม่ไหวจะทนเช่นกัน

นี่เป็นเหตุแรก แต่เหตุลึกๆจริงๆที่ทำให้สายหยุดมาเพราะตั้มและกำลังจะไปก็เพราะตั้มเช่นกัน!

เพราะ สายหยุด บัดนาวเป็นคน "ตื่นธรรม" รู้สึกตัวว่า ตัวเองถูกหลอก โดยเฉพาะพยานหลักฐานที่ “ษิทรา” ตระเตรียมไว้ให้ ล้วนเป็น พยานหลักฐานเท็จ!

เป็นต้นว่า เอกสารสัญญาการว่าจ้างทำแพลตฟอร์มหวยออนไลน์ ที่เป็นที่มาของคดี 71 ล้านนั้นพบเพียง "ฉบับร่าง" โดยไม่มีลายเซ็นต์ผู้ใดแม้แต่รายเดียว

เมื่อเห็นดังนั้น “ทนายปาเกียว” ได้ทำการสืบสวนในทางลับแล้วพบว่า เฉพาะสัญญาฉบับนี้ มีการดัดแปลงแต่งเติมแก้ไข จากคอมพิวเตอร์ภายในสำนักงานกฎหมายของ “ษิทรา เบี้ยบังเกิด” มาจำนวนหลายครั้ง ก่อนที่จะส่งถึงมือตนเอง!

นั่นหมายถึง “ทนายตั้ม” พยายามปิดบังข้อเท็จจริงทำให้รับไม่ได้ที่จะทำงานให้ต่อไปอีก
ว่ากันว่า “ทนายปาเกียว” นึกเฉลียวใจแต่แรก ถือเป็นโชคดีที่ "อาจารย์ยิปมัน" ปานเทพ พัวพงษ์พันธ์ ได้ตั้งข้อสังเกตเตือนให้ระวังเอาไว้ ถึงการยื่นพยานและหลักฐานต่างๆในคดีให้พนักงานสอบสวนแล้วหรือไม่ !?

ฟังว่า “ทนายสายหยุด” ถึงกับถอนหายใจโล่งอก เพราะตอนนี้ยังไม่ได้ยื่นพยานหลักฐานใดๆ ให้พนักงานสอบสวน

มิเช่นนั้น เท่ากับว่าจะเป็นทนายความ ที่ไม่ได้ทำงานตามข้อเท็จจริง หรืออาจเป็นผู้ร่วมกระทำผิดกฎหมาย

ตัวอย่างก็มีให้ดูแล้ว หมาดๆ ก็คดี "แอม ไซยาไนด์"

อย่ากระนั้นเลย ถอนตัวยุติบทบาททนายความให้ “ษิทรา เบี้ยบังเกิด” เสียตั้งแต่บัดนี้ยังเก็บแต้ม "ทนายมืออาชีพ"เอาไว้คนชื่นชมดีกว่าไปนอนในคุก เป็นเพื่อนตั้มเป็นไหนๆ

ระหว่าง “ทนายตั้ม”กับ “ทนายสายหยุด”จากนี้ไปก็ทางใครทางมัน
อนุทิน ชาญวีรกูล
++  พิพาท“เขากระโดง โกงแผ่นดิน” ถูกพรรคเพื่อไทย-ภูมิใจไทย เอามาเล่นเกมต่อรองการเมือง

ปัญหาข้อพิพาทในกรรมสิทธิ์ที่ดิน “เขากระโดง” อ.เมืองฯ จ.บุรีรัมย์ ที่ศาลฎีกาและศาลปกครองกลาง มีคำพิพากษาแล้วว่า เป็นที่ดินของการรถไฟฯ แต่ถึงวันนี้ยังไม่สามารถหาข้อยุติได้!?

เรื่องนี้ ต้องย้อนไปปี 2462 ที่มีการสร้างทางรถไฟสายอีสานใต้ จาก จ.นครราชสีมา ไป จ.อุบลราชธานี ซึ่งในการสร้างทางรถไฟ ต้องใช้หินรองไม้หมอนรถไฟ ป้องกันการทรุดตัวของรางรถไฟ

เขากระโดง คือแหล่งหินที่มีคุณภาพ การรถไฟจึงทำทางรถไฟเข้าไปที่เขากระโดง เพื่อระเบิดหิน โม่หิน แล้วบรรทุกหินออกมา ที่ดินบริเวณเขากระโดงจึงเป็นที่ของการรถไฟฯ ตามประกาศพระราชกฤษฎีกา กำหนดเขตสร้างทางรถไฟ ต่อจาก จ.นครราชสีมา ถึง จ.อุบลราชธานี ไปด้วย

หมดยุคสร้างทางรถไฟ มาถึงการสร้างทางรถยนต์ เชื่อมต่อจังหวัดต่างๆ รวมทั้งจากจังหวัดไปอำเภอ ในพื้นที่อีสานใต้ ก็ยังคงต้องใช้หินจากเขากระโดง และผู้ที่เข้ามามีบทบาทผูกขาดขายหิน คือ “โรงโม่หินศิลาชัย” ของ “กำนันชัย ชิดชอบ” อดีต สส.บุรีรัมย์ อดีตประธานสภาฯ พ่อของ “เนวิน ชิดชอบ” นั่นเอง

เมื่อการรถไฟฯ ไม่ได้เข้าไปดูแล จึงมีประชาชนเข้าไปยึดครองที่ดินบริเวณเขากระโดง ซึ่งมีประมาณ 5,000 ไร่ คนที่มีเส้นสายก็พยายามหาทางออกเอกสารแสดงการครอบครอง จึงมีการออกโฉนดไป 850 แปลง ในจำนวนนี้เป็นของเครือญาติในตระกูล “ชิดชอบ” 20 แปลง เนื้อที่รวม 288 ไร่ เศษ ที่ปัจจุบัน มีทั้งเหมืองหิน ที่อยู่อาศัย สนามฟุตบอล และสนามแข่งรถ ของคนในตระกูลนี้

อย่างไรก็ตาม ก่อนหน้านี้เคยมีกรณีการฟ้องร้องระหว่างประชาชน ที่ยึดครองที่ดิน ประมาณ 37 แปลง กับการรถไฟฯ มาแล้ว ซึ่งศาลฎีกาและศาลอุทธรณ์ ภาค 3 ตัดสินชี้ขาดว่า เป็นที่ดินของการรถไฟฯ

นอกจากนี้ ยังมีคำพิพากษาของศาลปกครองกลาง ที่ระบุให้ “อธิบดีกรมที่ดิน” มีคำสั่งตั้งคณะกรรมการสอบสวนตาม มาตรา 61 วรรคสอง แห่งประมวลกฎหมายที่ดิน ทำการตรวจสอบแนวเขตที่ดินบริเวณเขากระโดง เพื่อหาแนวเขตที่ดินที่เป็นของการรถไฟฯ ตามคำพิพากษาศาลฎีกา ดังกล่าว ผู้บุกรุกจะถูกเพิกถอนสิทธิ์

แต่ล่าสุด “พรพจน์ เพ็ญพาส” อธิบดีกรมที่ดิน ออกมาประกาศว่า คณะกรรมการของกรมที่ดิน ที่ตั้งขึ้นตาม มาตรา 61 มีมติ “ไม่เพิกถอนโฉนดที่ดินเขากระโดง 5,000 กว่าไร่” โดยอ้างว่า การรถไฟฯ ไม่มีพยานหลักฐาน ยืนยันว่าที่ดินบริเวณดังกล่าว เป็นของการรถไฟแห่งประเทศไทย !?

นั่นเท่ากับเป็นการบอกว่า การรถไฟฯควรจบเรื่องนี้ได้แล้ว หากการรถไฟฯอยากยึดคืน ก็ให้ไปฟ้องร้องเอากับประชาชน 800 กว่าราย ที่ถือโฉนดอยู่ในตอนนี้ เป็นรายๆไป ไม่ใช่ให้กรมที่ดิน ไปสั่งเพิกถอนสิทธิ์ของประชาชน ส่วนคำพิพากษาศาลฎีกาที่ตัดสินไปก่อนหน้านั้น ถือว่าเป็นการตัดสินเฉพาะราย ไม่ใช่เหมารวมทั้งหมด

ต้องเข้าใจว่าในรัฐบาลที่แล้ว พรรคภูมิใจไทย ซึ่งเป็นที่รับรู้กันว่ามี “เนวิน ชิดชอบ” เป็นผู้มีบารมีในพรรค และผู้ดูแลกระทรวงคมนาคม ก็คือ “ศักดิ์สยาม ชิดชอบ” ที่กำกับดูแลการรถไฟแห่งประเทศไทย ส่วนในรัฐบาลนี้ “อนุทิน ชาญวีรกูล” เป็นรองนายกฯ และรมว.มหาดไทย ที่กำกับดูแลกรมที่ดิน
พรพจน์ เพ็ญพาส - สุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ -แพทองธาร ชินวัตร
และอธิบดีกรมที่ดินคนปัจจุบัน “พรพจน์ เพ็ญพาส” ก็เป็นทายาทของ “พร เพ็ญพาส” อดีตผู้ว่าฯบุรีรัมย์ ที่มีความใกล้ชิดกับตระกูล“ชิดชอบ”

เมื่อกรมที่ดินประกาศไม่เพิกถอนโฉนดที่ดินเขากระโดง “สุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ” รองนายกฯ และรมว.คมนาคม จากพรรคเพื่อไทย ที่กำกับดูแลการรถไฟฯ ก็ออกมาประกาศว่าจะทวงคืนที่ดินเขากระโดงทุกตารางเมตร กลับมาเป็นของการรถไฟฯ

การออกมาประกาศเช่นนี้ จึงถูกมองว่าเป็นการออกมาเปิดประเด็นต่อรองทางการเมือง หลังจาก“พรรคเพื่อไทย” ในฐานะแกนนำรัฐบาล ถูก “พรรคภูมิใจไทย” ที่เป็นพรรคร่วมรัฐบาล ขี่คอมาตลอดในหลายๆเรื่อง และยังมี “สว.สีน้ำเงิน” คุมสภาสูงอีก
เมื่อ“สุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ” ประกาศเช่นนั้น ก็มีเสียงจากทางพรรคภูมิใจไทย ขุดเอาเรื่องเก่าอย่าง “สนามกอล์ฟอัลไพน์” ขึ้นมาเล่าใหม่ทันที ว่าที่ดิน “สนามกอล์ฟอัลไพน์” มีการร้องเรียนแล้วว่า เป็นที่ธรณีสงฆ์

การที่ “นายกฯ อุ๊งอิ๊งค์” แพทองธาร ชินวัตร ถือครองในนามของ บริษัท อัลไพน์กอล์ฟ จึงเป็นการผิดจริยธรรมอย่างร้ายแรง ที่จะต้องถูกถอดถอนออกจากตำแหน่ง และถูกตัดสิทธิ์ทางการเมืองตลอดชีวิต...เป็นการตีตรงไปที่ “หัวใจ” ของพรรคเพื่อไทย
เรื่องนี้จึงกลายเป็นประเด็นการเมืองระหว่างพรรคเพื่อไทย กับ พรรคภูมิใจไทย ที่เป็นพรรคร่วมรัฐบาลขึ้นมาทันที

หลังจากนี้ก็ต้องติดตามว่า “สุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ” จะสั่งการให้การรถไฟฯ ดำเนินการอย่างไร เมื่อไหร่ ในการที่จะเอาที่ดินเขากระโดง กลับมาเป็นของรัฐ เพราะถ้าไม่ดำเนินการก็อาจเจอข้อหาละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ

หาก “สุริยะ”ทำเช่นนั้น ก็อาจเกิดแรงกระเพื่อมที่ทำให้รัฐบาลพังได้

แต่ถ้ามีการประวิงเวลา หรือปล่อยเลยตามเลย ไม่ต้องการแตกหัก เพื่อประคองให้รัฐบาลอยู่ต่อไป ยอมให้ที่ดินของการรถไฟฯ ถูกตระกูลการเมืองและประชาชนบางกลุ่มยึดครอง แล้วกรมที่ดินในยุคที่นักการเมืองพรรคภูมิใจไทย กำกับดูแลยัง ประกาศรับรองสิทธิให้อีก

ถ้าเป็นเช่นนั้น ก็หมายความว่า ทั้งพรรคเพื่อไทย และพรรคภูมิใจไทย กำลังรวมหัวกันโกงแผ่นดิน!!

ที่มา : MgrOnline