"ผู้หญิงสามารถทำสิ่งอัศจรรย์ได้ถ้าพวกเราสนับสนุนซึ่งกันและกัน" เป็นคำกล่าวของนักเฟมินิสต์ที่ทรงอิทธิพล "เชอรีล แซนด์เบิร์ก" ต้อนรับวันที่ 8 มีนาคม ซึ่งเป็นวันสตรีสากลของทุกปี (International Women"s Day) ตอกย้ำทุกคนมีสิทธิเท่าเทียม
ทั้งนี้ ในแง่มุมของการลงทุุนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย มีบรรดาสุภาพสตรีมากมายที่เข้าไปลงทุนในตลาดหุ้น โดยปรากฏรายชื่อในกลุ่มผู้ถือหุ้นใหญ่ในบริษัทจดทะเบียน แต่ถ้าจะแสกนลึกลงไปให้ทันยุคทันสมัย ในห้วงเวลานี้ที่บ้านเรามีนายกรัฐมนตรี GEN Y อย่าง แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรีไทยคนที่ 31 ในวัย 38 ปี โดย"กรุงเทพธุรกิจ"พาไปส่องเศรษฐีนีหุ้น GEN Y ที่มากความสามารถ และจัดเป็นผู้หญิงเก่งคนหนึ่งในฟากฟ้าเมืองไทย
1.ธิดา แก้วบุตตา หรือ ไนล์ ผู้อำนวยการกลยุทธ์องค์กร บริษัท ศรีสวัสดิ์ คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ SAWAD ทายาทเจ้าของธุรกิจสินเชื่อรายย่อย “ศรีสวัสดิ์ เงินด่วนทันใจ” ปัจจุบันถือหุ้นใหญ่อันดับ 1 จำนวน 222,217,720 หุ้น สัดส่วน 16.18% มูลค่า 7,666.51 ล้านบาท โดยราคาหุ้นตั้งแต่ต้นปี -17.37%
"ไนล์" จบการศึกษา คณะพาณิชยศาสตร์และการบัญชี มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ และได้ศึกษาต่อในระดับ MBA ที่ Waseda University ประเทศญี่ปุ่น
ผลการดำเนินงานประจำปี 2567 ของบริษัทและบริษัทย่อยมีกำไรรวมสุทธิ 5,246 ล้านบาท โดยบริษัทมีรายได้ดอกเบี้ยราว 18,027 ล้านบาท และรายได้อื่นราว 3,018 ล้านบาท รวมรายได้อยู่ที่ 21,046 ล้านบาท เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน สะท้อนการเติบโตของพอร์ตสินเชื่อที่แข็งแกร่งและคุณภาพสินทรัพย์ที่อยู่ในเกณฑ์ดี เดินหน้าสร้างผลประกอบการที่มั่นคงได้ต่อเนื่อง ด้วยกลยุทธ์การบริหารพอร์ตที่มีประสิทธิภาพ
ในปี 2568 SAWAD ยังให้ความสำคัญกับ ธุรกิจประกันออนไลน์ ซึ่งได้รับใบอนุญาตขายประกันออนไลน์จาก คปภ.ตั้งแต่เดือนพฤศจิกายน 2567 โดยขณะนี้อยู่ระหว่างการพัฒนาแพลตฟอร์มออนไลน์เพื่อให้บริการประกันภัยอย่างครบวงจร ซึ่งมีเป้าหมายที่จะเพิ่มสัดส่วนรายได้จากธุรกิจประกันให้เติบโตจากเดิมที่ไม่มีนัยสำคัญ มาเป็น 10% ของรายได้รวมในอนาคต ปัจจุบันบริษัทฯ มีผลิตภัณฑ์ประกันที่ครอบคลุมทั้ง ประกันรถยนต์ พ.ร.บ. และประกันอุบัติเหตุ
โดยเน้นคัดเลือกพาร์ทเนอร์ที่เหมาะสม และนำเสนอราคาที่ย่อมเยาเพื่อตอบโจทย์ลูกค้าในทุกกลุ่ม ควบคู่ไปกับการพัฒนา เว็บไซต์ เพื่อรองรับลูกค้ากลุ่มใหม่ที่ต้องการซื้อประกันออนไลน์ สำหรับแผนการขยายเครือข่ายสาขา บริษัทตั้งเป้าเปิดเพิ่ม 200 สาขาใหม่ จากเดิมที่มีเกือบ 6,000 สาขา เพื่อขยายการเข้าถึงบริการสินเชื่อให้ครอบคลุมมากยิ่งขึ้น พร้อมทั้งพัฒนาแอปพลิเคชัน “ศรีสวัสดิ์” ให้สามารถให้บริการด้านสินเชื่อและประกันภัยได้อย่างสะดวกและครบวงจร
2.แพทย์หญิง สนาธร รัตนภูมิภิญโญ หรือหมอจอย ทายาท บริษัท อาร์ แอนด์ บี ฟู้ด ซัพพลาย จำกัด (มหาชน) หรือ RBF ผู้ผลิตและจำหน่ายวัตถุดิบประกอบอาหารชั้นนำของไทย เช่น แป้ง ซอส อาหารแช่แข็ง และบรรจุภัณฑ์พลาสติก ปัจจุบันถือหุ้นใหญ่ RBF ลำดับ 5 จำนวน 160,159,000 หุ้น สัดส่วน 8.01% มูลค่า 808.80 ล้านบาท โดยราคาหุ้นตั้งแต่ต้นปี -27.34%
ทั้งนี้ หมอจอยจบการศึกษาจากคณะแพทยศาสตร์ ศิริราชพยาบาล และได้เข้าศึกษาต่อด้านเฉพาะทาง ในสาขาศัลยศาสตร์ตกแต่ง และแม็กซิลโลเฟเชียล โรงพยาบาลรามาธิบดี ปัจจุบันเป็นทีมแพทย์ของคลินิกศัลยกรรม Janasia Plastic Surgery เฉพาะทางด้านศัลยศาสตร์ตกแต่ง และหมอจอยยังเป็นถึงมือเบสวงดนตรีฟังก์ร็อก "The Octopuss" เป็นวงที่เกิดจากการรวมตัวกันของสี่สมาชิกที่หลงรักในดนตรีเพลงร็อก ชอบวง Red Hot Chili Peppers เหมือนกัน
ปัจจุบัน หุ้น RBF เปิดเผยผลงานปี 2567 ผลการดำเนินงานปี 2567 (สิ้นสุดวันที่ 31 ธันวาคม 2567) ว่า บริษัทมีรายได้จากการขายและให้บริการ 4,391.09 ล้านบาท และกำไรสุทธิ 512.76 ล้านบาท สะท้อนถึงศักยภาพการเติบโตที่แข็งแกร่งขององค์กร ทั้งนี้ รายได้จากการขายและให้บริการ 4,391.09 ล้านบาท เป็นรายได้จากยอดขายในประเทศที่เพิ่มขึ้น 235.75 ล้าล้านบาท ที่ได้รับปัจจัยหนุนจากการเปิดตัวผลิตภัณฑ์ใหม่ที่ได้รับการตอบรับที่ดีจากตลาด
แนวโน้มธุรกิจปี 2568 บริษัท มุ่งเน้นขยายตลาดต่างประเทศ พร้อมวางกลยุทธ์เพื่อเสริมศักยภาพการแข่งขัน โดยมุ่งเน้นพัฒนาผลิตภัณฑ์ใหม่ที่หลากหลาย เพื่อตอบโจทย์ความต้องการของตลาดโลก ควบคู่ไปกับการเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตและบริหารต้นทุน เพื่อรักษาอัตรากำไร รวมถึงการขยายตลาดอินโดนีเซีย เวียดนาม และอินเดีย เพื่อกระจายความเสี่ยง พร้อมเดินหน้ารุกตลาดรัสเซีย ปากีสถาน อียิปต์และประเทศอื่นๆ ซึ่งยังคงมีแนวโน้มเติบโตอย่างต่อเนื่อง โดยปี 2568 ตั้งเป้ารายได้เติบโต 10-15% จากปี 2567
3.พราวพุธ ลิปตพัลลภ นักธุรกิจหญิงเก่งแห่งแวดวงอสังหาริมทรัพย์ และเป็นทายาทสาวคนสุดท้องของนักการเมืองดัง “สุวัจน์ ลิปตพัลลภ” อดีตรองนายกรัฐมนตรี และ “พลโทหญิงพูนภิรมย์ ลิปตพัลลภ” อดีตรัฐมนตรีกระทรวงพลังงาน ปัจจุบันถือหุ้นใหญ่ บริษัท พราว เรียล เอสเตท จำกัด (มหาชน) หรือ PROUD อันดับ 1 จำนวน 228,903,894 หุ้น สัดส่วน 23.50% มูลค่า 288.42 ล้านบาท โดยราคาหุ้นตั้งแต่ต้นปี -0.79%
ทั้งนี้ ด้านการศึกษาของ "พราวพุธ" จบปริญญาตรีด้านเศรษฐศาสตร์และการจัดการ จากมหาวิทยาลัยออกซ์ฟอร์ด ประเทศอังกฤษ และศึกษาต่อระดับปริญญาโทด้านการบริหารที่ลอนดอน บิสเนส สคูล จากนั้นศึกษาสำเร็จได้เข้าทำงานบริษัทที่ปรึกษากลยุทธ์ธุรกิจชั้นนำระดับโลก แมคคินซี่ แอนด์ คอมพานี อิงค์ ไทยแลนด์ และเริ่มรุกธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ในนาม บริษัท พราว เรียล เอสเตท จำกัด (มหาชน) ปัจจุบันดำรงตำแหน่ง กรรมการบริหาร
สำหรับผลประกอบการปี 2567 PROUD มีรายได้รวม 2,268 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีก่อนที่มีรายได้ 1,534 ล้านบาท และมีกำไรสุทธิ 57 ล้านบาท ลดลงจากช่วงเดียวกันของปีก่อนที่มีกำไรสุทธิ 102 ล้านบาท ทั้งนี้ รายได้ของบริษัทปรับตัวเพิ่มขึ้นจากการทยอยรับรู้รายได้โครงการ Nue Cross Khu Khot Station ซึ่งเป็นโครงการที่บริษัทเข้าร่วมทุนซื้อโครงการเข้ามาและมียอดขายอยู่แล้ว 100% ทำให้สามารถรับรู้รายได้เข้ามาต่อเนื่อง ทั้งนี้โครงการดังกล่าวเป็นโครงการที่มีอัตรากำไรขั้นต้นต่ำกว่าโครงการที่บริษัทพัฒนาเอง ส่งผลให้ภาพรวมกำไรสุทธิชะลอลง ซึ่งเป็นไปตามที่บริษัทได้คาดการณ์ไว้แล้ว
อย่างไรก็ตาม บริษัทมียอดขายรอรับรู้รายได้ (Backlog) ณ สิ้นปี 2567 มูลค่า 10,935 ล้านบาท ซึ่งจะทยอยรับรู้รายได้ในช่วงปี 2568-2569 โครงการที่อยู่ระหว่างการขาย ประกอบด้วย โครงการแนวราบ 1 โครงการ ได้แก่ โครงการ VI Ari (วี อารีย์) โครงการแนวสูง 3 โครงการ ได้แก่ โครงการ VEHHA Hua Hin (เวหา หัวหิน) โครงการ ROMM Convent (รมย์ คอนแวนต์) และโครงการ NUE District R9 (นิว ดิสทริค อาร์ 9)
สำหรับแนวโน้มธุรกิจของ PROUD ในปี 2568 ตั้งเป้าหมายรายได้เติบโตก้าวกระโดด 6 เท่า แตะ 10,000 ล้านบาท ด้วยกลยุทธ์มุ่งเน้นพัฒนาโครงการอสังหาริมทรัพย์ระดับลักเซอรี่ บนทำเลที่มีศักยภาพ ชูจุดเด่นด้วยแนวคิด “ALL IS WELL” สร้างสรรค์ที่อยู่อาศัยตอบโจทย์ทุกมิติของชีวิตเพื่อชีวิตดีที่ยั่งยืน
โดยมีแผนเปิดตัวโครงการใหม่ 3 โครงการ มูลค่ารวม 9,200 ล้านบาท ประกอบด้วย โครงการแนวสูง 2 โครงการ โครงการแนวราบ 1 โครงการ บนพื้นที่ 3 ทำเลศักยภาพชานเมืองกรุงเทพฯ หัวหิน และภูเก็ต โดยบริษัทลงทุนซื้อที่ดินในจังหวัดภูเก็ต เพื่อเตรียมพัฒนาโครงการใหม่ ไว้เรียบร้อยแล้ว คาดเปิดตัวในช่วงไตรมาส 3/2568 เป็นต้นไป
4.อรุณรุ่ง ศรีวัฒนประภา ทายาท คิง เพาเวอร์ ดำรงตำแหน่ง ผู้ช่วยประธานเจ้าหน้าที่ด้านการลงทุน กลุ่มบริษัท คิง เพาเวอร์และประธานสโมสรฟุตบอลเลสเตอร์ซิตี้ ปัจจุบันพบว่า เข้าถือหุ้นใหญ่ 3 หลักทรัพย์ 285,189,981.6 ล้านบาท
บริษัท เชฎฐ์ เอเชีย จำกัด (มหาชน) หรือ CHASE ถือหุ้นใหญ่อันดับ 5 จำนวน 20,000,000 หุ้น สัดส่วน 1.01% มูลค่า 12,400,000 ล้านบาท โดยราคาหุ้นตั้งแต่ต้นปี -36.73%
บริษัท อาร์เอส จำกัด (มหาชน) หรือ RS ถือหุ้นใหญ่อันดับ 6 จำนวน 104,500,000 หุ้น สัดส่วน 4.79% มูลค่า 73,150,000 ล้านบาท โดยราคาหุ้นตั้งแต่ต้นปี -87.16%
บริษัท สกาย ไอซีที จำกัด (มหาชน)หรือ SKY ถือหุ้นใหญ่อันดับ 18 จำนวน 10,849,999 หุ้น สัดส่วน 1.52% มูลค่า 199,639,981.6 ล้านบาท โดยราคาหุ้นตั้งแต่ต้นปี -30.57%
5.พาพิชญ์ วงศ์ไพฑูรย์ปิยะ หรือ เอ็ก ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ริช สปอร์ต จำกัด (มหาชน) หรือ RSP เป็นทายาทรุ่น 2 เข้าของกิจการ RSP เป็นผู้นำในการประกอบธุรกิจนำเข้า และจัดจำหน่ายสินค้าประเภทแฟชั่น แบรนด์ CONVERSE ปัจจุบันถือหุ้นใหญ่ลำดับ 2 จำนวน 133,500,100 หุ้น สัดส่วน 17.97% มูลค่า 237,630,178 ล้านบาท โดยราคาหุ้นตั้งแต่ต้นปี -3.26%
ทั้งนี้ เอ็ก ศึกษาจบปริญญาตรีสาขาการเงิน มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ และศึกษาต่อปริญญาโท บริหารธุรกิจที่สหรัฐอเมริกา
โดยผลงานปี 2567 กำไรสุทธิ 133.69 ล้านบาท เทียบกับปีก่อนมีกำไรสุทธิ 103.68 ล้านบาท ขณะที่รายได้ปี 2567 ที่ 1,570.93 ล้านบาท เทียบกับปีก่อนหน้า 1,521.46 ล้านบาท
6.ชนัญดา ทวีสิน หรือ นุ้บ ลูกสาวคนเล็กของ อดีตนายกรัฐมนตรี เศรษฐา ทวีสิน เข้าถือหุ้นใหญ่บริษัท แสนสิริ จำกัด (มหาชน) หรือ SIRI ลำดับที่ 12 จำนวน 220,000,000 หุ้น สัดส่วน 1.28% มูลค่า 374,000,000 ล้านบาท โดยราคาหุ้นตั้งแต่ต้นปี -5.56%
ทั้งนี้ "นุ้บ" จบการศึกษาปริญญาตรี สาขา Neuroscience ที่ Barnard college และปริญญาโทสาขา Social worker จากมหาวิทยาลัยโคลัมเบีย สหรัฐอเมริกา
SIRI เผยผลการดำเนินงานในปี 67 มีรายได้รวมที่ 39,205 ล้านบาท เติบโตขึ้นเล็กน้อยจากปีก่อนหน้า ด้านยอดขายรวมเติบโตขึ้น 2% จาก 49,000 ล้านบาท เป็น 50,000 ล้านบาท (63% มาจากโครงการแนวราบ, 37% มาจากคอนโดมิเนียม)
ขณะที่ยอดโอนเติบโตขึ้น 13% จาก 38,800 ล้านบาท เป็น 43,700 ล้านบาท (66% มาจากโครงการแนวราบ, 34% มาจากคอนโดมิเนียม) ความสำเร็จดังกล่าวมาจากกลยุทธ์การปรับพอร์ตโฟลิโอเพื่อเจาะกลุ่มความต้องการที่อยู่อาศัยระดับพรีเมี่ยม-ลักซ์ชัวรี รวมถึงการรุก Strategic Locations เมืองท่องเที่ยวใหญ่ที่มีศักยภาพ โดยสัดส่วนยอดขายและยอดโอนของบ้านเดี่ยวและทาวน์โฮมเติบโตในทิศทางเดียวกัน ขณะที่ยอดขายคอนโดมิเนียมปรับเพิ่มขึ้นเล็กน้อย สะท้อนถึงความต้องการคอนโดมิเนียมในกรุงเทพฯและต่างจังหวัดในบางทำเลที่ปรับตัวดีขึ้น จากแรงหนุนจากความต้องการของชาวต่างชาติและความต้องการอยู่อาศัยใกล้แนวรถไฟฟ้าหรือใกล้สถานศึกษาของคนไทย”
และที่สำคัญ แสนสิริยังรักษาระดับกำไรสุทธิได้ถึง 5,253 ล้านบาท ท่ามกลางภาวะการแข่งขันสูง สะท้อนให้เห็นว่าแสนสิริ สามารถรักษาระดับผลประกอบการให้เติบโตได้อย่างมีเสถียรภาพทั้งในด้านรายได้ ยอดขาย และยอดโอน สวนกระแสสภาวะเศรษฐกิจและสถานการณ์ตลาดอสังหาฯ ที่ทยอยฟื้นตัว แสดงถึงการมีกลยุทธ์ที่ดีในการปรับตัวภายใต้สถานการณ์ต่างๆ รวมถึงฐานะการเงินที่แข็งแกร่งที่ได้รับความเชื่อมั่นสูงจากนักลงทุน จากการเสนอขายหุ้นกู้ในทุกชุด ที่ได้รับการตอบรับที่ดีเกินคาด ยอดจองล้นและสามารถปิดการจองซื้อหุ้นกู้ในทุกครั้งได้อย่างรวดเร็ว สะท้อนถึงความเชื่อมั่นของนักลงทุนที่มีต่อความแข็งแกร่งของแบรนด์แสนสิริได้เป็นอย่างดี
ล่าสุด ที่ประชุมคณะกรรมการ บริษัท มีมติอนุมัติจ่ายเงินปันผลครึ่งปีหลังที่ 0.08 บาทต่อหุ้น (กำหนดรายชื่อผู้ถือหุ้นที่มีสิทธิได้รับปันผลในวันที่ 17 มี.ค. และกำหนดจ่ายเงินปันผลในวันที่ 20 พ.ค.) หากรวมเงินปันผลครึ่งปีแรกที่จ่ายระหว่างกาลไปแล้วที่ 0.07 บาท รวมทั้งปีจ่าย 0.15 บาทต่อหุ้น คิดเป็นอัตราผลตอบแทนจากเงินปันผล หรือ Dividend Yield ที่ 9% ต่อปี ซึ่งแสนสิริเป็นหนึ่งในบริษัทอสังหาฯ ชั้นนำที่จ่ายปันผลอัตราสูงต่อเนื่องตลอดหลายปีที่ผ่านมา
อย่างไรก็ตาม นายกรัฐมนตรี แพทองธาร ชินวัตร ได้โอนหุ้นที่ถืออยู่ใน SC จำนวน 1,026,149,870 หุ้น คิดเป็น 23.99% ของทุนชําระแล้วของ SC ให้แก่ บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน เกียรตินาคินภัทร จำกัด หรือ KKPAM เมื่อวันที่ 19 พฤศจิกายน 2567 เพื่อให้ KKPAM การจัดการทรัพย์สินของนายกรัฐมนตรี ขณะที่ PR9 บลจ. แลนด์ แอนด์ เฮ้าส์ จำกัด (รับโอนจากรมต. นางสาวแพทองธาร ชินวัตร เพื่อการจัดการทรัพย์สินของรมต.ฯ) ลำดับที่ 14 จำนวน 5,000,000 หุ้น สัดส่วน 0.64%