ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา ปัญญาประดิษฐ์ หรือ AI ไม่ได้เป็นแค่เรื่องของอนาคตอีกต่อไป โดยเฉพาะในวงการแพทย์ของไทยที่เริ่มนำเทคโนโลยีนี้มาใช้อย่างจริงจัง ทั้งในโรงพยาบาลรัฐและเอกชน ลองมาดูกันว่า AI เข้ามาเปลี่ยนอะไรไปแล้วบ้าง
1. ช่วยวินิจฉัยโรคแม่นยำขึ้น
AI สามารถประมวลผลข้อมูลทางการแพทย์จำนวนมหาศาล ทั้งผลตรวจเลือด ภาพ X-ray และประวัติผู้ป่วย เพื่อช่วยแพทย์วิเคราะห์และวินิจฉัยโรคได้เร็วขึ้น เช่น การใช้ AI วิเคราะห์ภาพถ่ายรังสีเพื่อหาความผิดปกติในปอดหรือสมอง
2. ลดภาระงานแพทย์
ระบบแชตบอต AI ถูกใช้ในบางโรงพยาบาลเพื่อช่วยตอบคำถามทั่วไปแทนเจ้าหน้าที่ ช่วยจองคิว นัดหมาย และแนะนำเบื้องต้น ทำให้บุคลากรแพทย์มีเวลาไปดูแลผู้ป่วยที่มีอาการรุนแรงมากขึ้น
3. ดูแลผู้ป่วยเรื้อรังแบบติดตามต่อเนื่อง
AI เข้ามาช่วยติดตามค่าต่าง ๆ เช่น ความดัน ระดับน้ำตาลในเลือด โดยเชื่อมต่อกับอุปกรณ์พกพาของผู้ป่วย ทำให้แพทย์สามารถติดตามอาการได้แม้อยู่ที่บ้าน ลดความเสี่ยงจากการไม่มาตรวจตามนัด
4. พัฒนาแนวทางการรักษาแบบเฉพาะบุคคล
ด้วยการวิเคราะห์พันธุกรรมและข้อมูลส่วนบุคคล AI สามารถแนะนำแนวทางการรักษาที่เหมาะกับผู้ป่วยแต่ละรายมากที่สุด เพิ่มโอกาสประสบความสำเร็จในการรักษา
5. ช่วยให้การแพทย์ในพื้นที่ห่างไกลดีขึ้น
AI ถูกนำมาใช้ใน “Telemedicine” หรือการแพทย์ทางไกล ทำให้คนในพื้นที่ชนบทหรือห่างไกลสามารถเข้าถึงบริการแพทย์ผู้เชี่ยวชาญผ่านระบบออนไลน์ พร้อมวิเคราะห์ข้อมูลร่วมกับ AI ได้ทันที
แล้วอนาคตจะเป็นยังไงต่อ?
แม้ AI จะยังไม่สามารถแทนที่แพทย์ได้ทั้งหมด แต่แนวโน้มคือจะเข้ามาเป็น “ผู้ช่วย” ที่สำคัญในทุกขั้นตอนของการรักษา และทำให้ระบบสาธารณสุขของไทยมีประสิทธิภาพมากขึ้น โดยเฉพาะในยุคที่เราขาดแคลนบุคลากรแพทย์ในบางพื้นที่
ลองสังเกตดูครั้งต่อไปที่คุณไปโรงพยาบาล อาจมีบางอย่างที่ดู ‘อัจฉริยะ’ ขึ้นกว่าที่เคยก็ได้นะครับ
ข้อมูลอ้างอิง: