บ้านไม่ใช่ความฝันอีกต่อไป?
"ซื้อบ้านเถอะ จะได้มีของเป็นของตัวเอง" — ประโยคนี้เคยเป็นคติประจำใจของหลายครอบครัว แต่ดูเหมือนว่าไม่ใช่กับคนรุ่นใหม่อีกต่อไป หลายคนเลือกอยู่คอนโด เช่าอพาร์ตเมนต์ หรือแม้แต่ทำงานแบบ Nomad แล้วอยู่ที่ไหนก็ได้ เพราะเหตุใดคนรุ่นใหม่ถึงหันหลังให้กับการมี “บ้าน”?
1. รายได้ไม่โตเท่าราคาอสังหาฯ
ค่าแรงเฉลี่ยของคนวัยทำงานเพิ่มขึ้นอย่างช้า ๆ ในขณะที่ราคาบ้านพุ่งไม่หยุด ทำให้ฝันที่จะมีบ้านกลายเป็นเรื่องไกลตัว ต้องผ่อนยาว 30 ปี โดยยังไม่รวมดอกเบี้ยและค่าดูแลอื่น ๆ
2. หนี้การศึกษายังไม่หมด หนี้ใหม่ยังไม่กล้าเริ่ม
คนรุ่นใหม่จำนวนมากยังต้องจ่ายหนี้การศึกษาหรือภาระอื่น ๆ ตั้งแต่เริ่มทำงาน จะไปกู้ซื้อบ้านก็เสี่ยงเกินไป กลัวว่าชีวิตจะต้องติดกับดักหนี้ตลอดชีวิต
3. ไลฟ์สไตล์เปลี่ยน งานเปลี่ยน ที่อยู่ก็เปลี่ยน
หลายคนทำงานแบบ Remote, Freelance หรือย้ายงานบ่อย การมีบ้านคือการผูกมัดกับที่ใดที่หนึ่ง ทำให้ไม่คล่องตัว และขัดกับรูปแบบชีวิตที่เปลี่ยนไวของคนยุคนี้
4. มองบ้านเป็นภาระ ไม่ใช่ทรัพย์สิน
จากเดิมที่มองบ้านว่าเป็น "ทรัพย์สินลงทุน" ตอนนี้กลับกลายเป็น "ภาระซ่อมแซม" ต้องจ่ายค่าส่วนกลาง ค่าบำรุง ค่าภาษี และไม่มีความแน่นอนว่าขายต่อได้กำไรหรือไม่
5. ไม่มั่นใจอนาคต เศรษฐกิจและสิ่งแวดล้อม
คนรุ่นใหม่เผชิญกับความไม่แน่นอนของโลกทั้งด้านเศรษฐกิจ การเมือง และสิ่งแวดล้อม การตัดสินใจซื้อบ้านในระยะยาวจึงถูกมองว่าเสี่ยงและอาจไม่มีความคุ้มค่า
ความฝันของคนรุ่นก่อน อาจไม่ใช่คำตอบของรุ่นนี้
ไม่ใช่เพราะคนรุ่นใหม่ไม่ขยัน หรือไม่วางแผนชีวิต แต่โลกที่พวกเขาอยู่เปลี่ยนไปมาก บ้านไม่ได้เป็นสัญลักษณ์ของความมั่นคงอีกต่อไป แต่อาจกลายเป็นภาระที่ผูกมัดเสรีภาพแทน
"ชีวิตที่มั่นคง ไม่ได้วัดแค่จากการมีบ้าน แต่วัดจากการมีอิสระเลือกเส้นทางของตัวเอง"