เคยได้ยินคำว่า CBDC หรือยัง? หลายประเทศ รวมถึงไทย กำลังทดสอบเงินดิจิทัลของธนาคารกลาง หรือที่เรียกว่า Central Bank Digital Currency แต่คำถามคือ...
แล้วมันต่างจากเงินในบัญชีธนาคารยังไง? และที่สำคัญ เราต้องเปลี่ยนมาใช้มันแทนเงินสดเลยไหม?
CBDC คืออะไร?
CBDC ย่อมาจาก Central Bank Digital Currency
หรือเรียกง่าย ๆ ว่า “เงินดิจิทัลที่ออกโดยธนาคารแห่งประเทศไทย (หรือของรัฐ)”
ต่างจาก Bitcoin หรือคริปโตอื่น ๆ ที่ไม่มีหน่วยงานควบคุม CBDC เป็น “เงินที่มีรัฐหนุนหลัง” เต็มรูปแบบ
ซึ่งหมายความว่า เชื่อถือได้ ปลอดภัย และมูลค่าแน่นอน เหมือนเงินสดที่เราใช้อยู่
แล้วต่างจากแอปโอนเงินหรือ e-Wallet ยังไง?
หลายคนอาจสงสัยว่า ถ้าเรามีแอปโอนเงินอยู่แล้ว ทำไมต้องมี CBDC อีก?
- CBDC ไม่ต้องพึ่งระบบของธนาคารพาณิชย์
เงินในแอปทั่วไปอยู่ในระบบของเอกชน แต่ CBDC จะอยู่ในระบบของรัฐโดยตรง - โอนเงินทันทีแบบ P2P
ใช้งานแบบ "กระเป๋าเงินดิจิทัล" โอนตรงหากันได้ไม่ต้องผ่านธนาคาร - ลดต้นทุนระบบการเงิน
โดยเฉพาะค่าโอน ค่าธรรมเนียม และต้นทุนแบงก์พิมพ์เงิน
CBDC มาแทนเงินสดไหม?
ยังไม่ใช่เร็ว ๆ นี้ และอาจไม่แทนทั้งหมด
รัฐส่วนใหญ่มองว่า CBDC จะเป็น อีกหนึ่งทางเลือก ไม่ได้มาแทนทันที
ในระยะเริ่มต้น รัฐจะให้ประชาชน ใช้คู่กับเงินสดและ e-Wallet แบบเดิม
เพื่อให้คนค่อย ๆ ปรับตัว และดูผลกระทบทางเศรษฐกิจ-สังคม
ประโยชน์ที่หลายฝ่ายคาดหวัง
- การโอนเงินแบบ Real-time 24 ชม. โดยไม่ต้องผ่านธนาคาร
- รัฐสามารถแจกเงินช่วยเหลือได้ตรงจุด รวดเร็ว และตรวจสอบได้
- ลดโอกาสฟอกเงิน เพราะทุกธุรกรรมมีร่องรอย
- สนับสนุนเศรษฐกิจดิจิทัล
ข้อกังวลที่ควรจับตา
- ความเป็นส่วนตัว: ทุกธุรกรรมอาจถูกตรวจสอบได้ง่ายขึ้น
- ความเชื่อมั่น: ถ้าคนแห่ถอนเงินจากธนาคารมาใช้ CBDC อาจเกิดวิกฤติสภาพคล่อง
- ความเหลื่อมล้ำทางเทคโนโลยี: คนไม่มีมือถือหรืออินเทอร์เน็ตอาจเข้าไม่ถึง
สรุปและแนวคิดชวนคิดต่อ
CBDC คือการเปลี่ยนผ่านครั้งใหญ่ของระบบการเงิน ที่เปิดทางให้รัฐมีเครื่องมือใหม่ในการดูแลเศรษฐกิจ แต่ก็ต้องจับตาเรื่องความเป็นส่วนตัวและผลกระทบต่อระบบธนาคารแบบเดิม
มันไม่ใช่ "จะมาแทนเงินสดทันที" แต่เป็นจุดเริ่มของการมีทางเลือกที่ปลอดภัยและทันสมัยมากขึ้น
“อนาคตของเงินอาจไม่ใช่แค่กระดาษในมือ แต่คือความเชื่อมั่นในระบบที่เราวางใจได้”
ข้อกังวล: ประชาชน & รัฐ กับ CBDC
ฝั่งประชาชน
1. ความเป็นส่วนตัวลดลง
- ทุกการใช้จ่ายผ่าน CBDC สามารถตรวจสอบย้อนหลังได้
- รัฐอาจเข้าถึงข้อมูลการใช้จ่ายรายบุคคลได้ง่ายกว่าระบบเงินสด
2. ความกังวลเรื่อง “ควบคุมพฤติกรรม” ผ่านเงิน
- หากรัฐสามารถกำหนดเงื่อนไขการใช้ เช่น “ใช้เงินภายใน 30 วัน” หรือ “ห้ามซื้อของบางประเภท”
จะคล้ายการควบคุมพฤติกรรมผ่านระบบการเงิน
3. เข้าไม่ถึงเทคโนโลยี = ถูกทิ้งไว้ข้างหลัง
- ผู้สูงอายุ คนชนบท หรือกลุ่มที่ไม่มีสมาร์ตโฟน/อินเทอร์เน็ต อาจใช้ CBDC ไม่สะดวก
4. ความไม่มั่นใจในความปลอดภัย:
- คนทั่วไปอาจกลัวว่า “เงินจะหาย” จากแอป หรือระบบรัฐจะล่ม
ฝั่งรัฐ
1. กระทบเสถียรภาพธนาคารพาณิชย์
- หากคนแห่ถอนเงินจากธนาคารมาเก็บไว้ในรูปแบบ CBDC ทั้งหมด
ธนาคารอาจขาดสภาพคล่อง กระทบระบบเศรษฐกิจทั้งระบบ
2. ต้นทุนในการพัฒนา-บำรุงรักษาระบบสูงมาก
- ต้องมีระบบที่ปลอดภัย เทียบเท่าระบบธนาคารขนาดใหญ่
- ต้องเตรียมระบบป้องกันการแฮกและข้อมูลรั่วไหล
3. อาจกลายเป็นเครื่องมือการเมือง
- ถ้ารัฐบาลใช้ CBDC แจกเงินลักษณะ “ประชานิยม” บ่อยเกินไป อาจสร้างภาระการคลัง
ข้อคิด
“CBDC ไม่ใช่แค่เทคโนโลยีการเงิน แต่คือ ‘อำนาจ’ รูปแบบใหม่ ที่ทั้งรัฐและประชาชนต้องร่วมออกแบบและเฝ้าระวังให้สมดุล”
แหล่งอ้างอิง (สำหรับแนบในบทความหรือท้ายบท)
ธนาคารแห่งประเทศไทย (Bank of Thailand)
- หน้าโครงการทดลอง CBDC สำหรับประชาชน
- https://www.bot.or.th/th/financial-technology/cbdc
Bank for International Settlements (BIS)
- แหล่งข้อมูลหลักของธนาคารกลางทั่วโลกเกี่ยวกับนโยบายและแนวโน้มของ CBDC
- https://www.bis.org/cbdc/index.htm
IMF – Central Bank Digital Currencies
- รายงานและบทวิเคราะห์ของกองทุนการเงินระหว่างประเทศเกี่ยวกับ CBDC
- https://www.imf.org/en/Topics/fintech/Central-Bank-Digital-Currencies
World Economic Forum (WEF): Exploring CBDC
- ข้อมูลเปรียบเทียบโครงการของหลายประเทศ เช่น จีน, สวีเดน, บาฮามาส
- https://www.weforum.org/agenda/2022/08/what-are-central-bank-digital-currencies/
ธนาคารกลางจีน (People's Bank of China)
- รายงานความคืบหน้า e-CNY ซึ่งเป็นหนึ่งใน CBDC ที่เปิดใช้จริงแล้ว
- http://www.pbc.gov.cn/en/