“ลุงป้อม”มีแต่เรื่อง โงหัวไม่ขึ้น !?
เผยแพร่ : 27 พ.ย. 2567 23:40:12
• อิทธิพลและอำนาจลดลงอย่างต่อเนื่อง
• สูญเสียฐานอำนาจเดิมไปมาก
• สถานะ "ศูนย์กลางอำนาจ" กำลังเสื่อมถอย
เมืองไทย 360 องศา
จะเรียกว่า “พูดไม่ออก บอกไม่ถูก” กันเลยทีเดียวสำหรับ “ลุงป้อม” พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ หัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ เพราะตลอดช่วงหลายเดือนมานี้ “มีแต่เรื่อง” ทั้งที่เป็นเรื่องที่ตัวเอง“หาทำ” เอง มาจนถึง “คนรอบตัวเป็นพิษ” หาเรื่องมาให้ไม่หยุดหย่อน มาทั้งตรงๆ และอ้อมๆ แต่ทำให้ตัวเองต้องเสียหายอยู่เรื่อย
ล่าสุดมีเรื่องฉาวโฉ่จากกรณีของ นายสามารถ เจนชัยจิตรวนิช อดีตรองโฆษกพรรคพลังประชารัฐ อดีตสมาชิกพรรค ถูกจับพร้อมๆ กับ นางวิลาวัลย์ พุทธสัมฤทธิ์ ผู้เป็นแม่ ในข้อหาฟอกเงินและร่วมกันฟอกเงิน ที่ได้มาจาก “บอสดิไอคอน” เมื่อวันก่อน แม้ว่าในเวลาต่อมามีการแถลงทันควันจากพรรคพลังประชารัฐ ทำนองว่าเป็นเรื่องส่วนบุคคลไม่เกี่ยวกับพรรค อีกทั้งนายสามารถ ได้พ้นสภาความเป็นสมาชิกของพรรคไปแล้วก็ตาม แต่จากบทบาทที่ผ่านมาถือว่า เขาเคยเป็นคนใกล้ชิดกับ “ลุงป้อม” มักมีการแถลงทั้งในนามพรรค และในฐานะตัวแทนของ หัวหน้าพรรคมาอย่างต่อเนื่อง บางครั้งถึงทำหน้าที่เป็นตัวแทน ทาบทามบุคคลต่างๆ เข้ามาเป็นสมาชิกพรรคหลายคน
ขณะเดียวกัน “ความวัวไม่ทันหาย ความควายเข้ามาแทรก” เพิ่มเติมอีก เพราะ นายสิระ เจนจาคะ อดีต ส.ส.กรุงเทพฯ พรรคพลังประชารัฐ คนเคยใกล้ชิด ออกเปิดเผยว่า “คนในป่า ยกหูหาคนๆ หนึ่งให้ช่วยเหลือ นายสามารถ” เข้ามาอีก แม้ว่าไม่ได้เอ่ยชื่อว่าใคร แต่เชื่อว่าทุกคนก็น่าหลับตานึกออกว่าน่าจะเป็นใคร
อย่างไรก็ดี เมื่อมีการสอบถามเรื่องนี้ พล.อ.ประวิตร ปฏิเสธตอบคำถามทุกคำถามของผู้สื่อข่าว โดยเขาไม่ได้ตอบคำถามใดๆ ก่อนขึ้นรถเดินทางกลับทันที
นายไพบูลย์ นิติตะวัน เลขาธิการพรรคพลังประชารัฐ กล่าวถึงกรณี นายสิระ เจนจาคะ อดีตสส.กทม. พรรคพลังประชารัฐ แฉปมที่มีคนในป่าโทรหาผู้ใหญ่เพื่อให้ช่วยเหลือนายสามารถ เจนชัยจิตรวนิช อดีตรองโฆษกพรรคพลังประชารัฐ หลังถูก DSI จับกุม ว่า ไม่ทราบ คนที่พูดก็ไม่ได้อยู่ในพรรคแล้ว ทำไมถึงรู้เรื่องอะไรมากมายดีนักหนา ขออนุญาติให้ช่วยรักษามารยาทด้วย ถ้าไม่ได้อยู่ในพรรคก็อย่ามาพูดเรื่องในพรรค ส่วนจากนี้จะดำเนินการอย่างไรต่อไปนั้น นายไพบูลย์ กล่าวว่า ไม่ต้องทำอะไรเพราะไม่ใช่คนในพรรค
ส่วนเส้นเงิน 100 ล้านบาท ได้มีการตรวจสอบหรือไม่นั้น นายไพบูลย์ กล่าวว่า ก็เช่นกัน นายสามารถไม่ใช่สมาชิกพรรคแล้ว เป็นหน้าที่ของเจ้าหน้าที่ตำรวจไม่ใช่หน้าที่ของพรรคพลังประชารัฐ และพรรคก็ไม่มีหน้าที่รวมถึงอำนาจ
ขณะที่พลเอกประวิตร วงษ์สุวรรณ หัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ ทราบเรื่องนี้หรือไม่นั้น นายไพบูลย์ กล่าวว่า จะไปทราบทำไม เรื่องในพรรคก็เยอะแยะอยู่แล้ว ห่วงอยู่เรื่องเดียวคือเรื่องของประชาชน ส่วนเรื่องของคนที่ไปทำอะไรผิดๆ ก็ไม่ได้เกี่ยวข้องและไม่ได้สนใจ
นายไพบูลย์ กล่าวต่อว่า ไม่ได้กังวลกระสุนตก เพราะเรื่องของนายสามารถ จบไปแล้ว พรรคมีระบบป้องกันตัวเองอยู่แล้ว ทุกอย่างที่ออกข่าวไปมาจากคนที่ไม่ได้อยู่ในพรรคแล้ว
จากกรณีนี้จะคัดกรองผู้ที่จะเข้ามาเป็นสมาชิกพรรคอย่างไร นายไพบูลย์ กล่าวว่า สมาชิกพรรคก็คือสมาชิก ตอนเข้ามาเป็นสมาชิกก็เรียบร้อยดี หลังจากนั้นก็มีปัญหา แต่พรรคพลังประชารัฐ โดยภาพรวมแล้วถือว่ามีปัญหาน้อยที่สุด และเราก็จัดการปัญหาอย่างรวดเร็ว ขออย่ากังวล จะดูแลพรรคให้เป็นที่พึ่งของประชาชน และหัวหน้าพรรคก็เอาใจใส่การดูแลพรรคอย่างยิ่งแล้ว ส่วนการดำเนินคดีทางกฎหมาย ขอให้ตำรวจดำเนินการอย่างชัดเจนที่สุด อย่าให้มีเรื่อง เรื่องลือที่ทำให้พรรคเสียหาย
แน่นอนว่ากรณีของ นายสามารถ เจนชัยจิตรวนิช หากจะบอกว่าไม่เกี่ยวข้องกับพรรค และไม่เกี่ยวข้องกับ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ ก็กล่าวแบบนั้นได้ แต่สำหรับคนภายนอกที่มองเข้าไป บางครั้งมันก็ปฏิเสธความรับผิดชอบไม่ได้ อย่างน้อย ก็เคยเป็นคนใกล้ชิด ทำหน้าที่ “แทนนาย” มาพักใหญ่ มันก็อาจทำให้มองแบบนั้นได้เหมือนกัน
อย่างไรก็ดี หากโฟกัสไปที่ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ นับตั้งแต่ถูกผลักออกมาจากพรรคร่วมรัฐบาล และพรรคพลังประชารัฐ แตกออกมาเป็นสองซีก โดย ซีกของ ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า ที่ยกทีมส.ส.ออกไปร่วมรัฐบาลกับพรรคเพื่อไทย โดยรอแยกทางกันอย่างเป็นทางการในการเลือกตั้งคราวหน้า หลังจากนั้นก็เสียรังวัดมาตลอด
อีกทั้ง ที่ผ่านมาระหว่างการจัดตั้งรัฐบาลใหม่ พล.อ.ประวิตร ยังถูกนายทักษิณ ชินวัตร “หยาม” อย่างเจ็บแสบ และมีรายงานว่า ถูกสั่งห้ามเอาเข้าร่วมอย่างเด็ดขาด เรียกว่าเป็นการเอาคืนอย่างเจ็บแสบกันเลยทีเดียว
นอกจากนี้ ที่ผ่านมายังมีเรื่องที่ทำให้ตัวเขาต้องเสียภาพลักษณ์มาอย่างต่อเนื่อง แม้กระทั่งเกิดเหตุ “หยุมหัว” นักข่าว จนเกิดเรื่องเกิดราวกันมาพักหนึ่ง จนในที่สุดเรื่องก็ซาไปเอง
แต่หลังจากนั้นในทางการเมืองก็ถือว่า “ขาลง” มาตลอด ชนิดที่เรียกว่า “กู่ไม่กลับ” กันเลยทีเดียว แม้ว่าที่ผ่านมา พล.อ.ประวิตร พยายามเคลื่อนไหวทางการเมืองมาตลอด แบบไม่ยอมแพ้ โดยเฉพาะเป้าหมายเพื่อช่วงชิงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี ให้ได้สักครั้ง แต่ดูเหมือนว่าเป้าหมายยิ่งถอยห่างออกไปทุกที
แม้ว่าช่วงหลังจะพยายามขับเคลื่อนพรรคพลังประชารัฐ แสดงบทบาทพรรคฝ่ายค้านอย่างเต็มที่ แต่เกมในสภากลับไม่มีใครในพรรคที่โดดเด่นพอ ทำให้ยังไม่มีพลังมากนัก อีกทั้งมีจำนวน ส.ส.ที่น้อย และที่สำคัญเหมือน “ปลาคนละน้ำ” กับพรรคฝ่ายค้านหลัก อย่างพรรคประชาชน ทำให้กลมกลืนกันได้ยาก ทำให้เป็นสาเหตุสำคัญทำให้ไม่มีพลังเพียงพอ
ถึงได้บอกว่า นาทีนี้ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ หัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ กำลังถดถอย อยู่ในช่วงขาลงจริง และลงเร็วเสียด้วย แทบจะทางฟื้นไม่มี แม้ว่าตัวเขาจะพยายามฮึดสู้มาตลอด แต่ด้วยองค์ประกอบหลายอย่างมันไม่เป็นใจ ทำให้ยังมองไม่เห็นทางข้างหน้า
อีกทั้งมีการประเมินว่าในการเลือกตั้งคราวหน้า จะมี ส.ส.ย้ายทีมออกไปไม่น้อย โดยเฉพาะ “บ้านใหญ่” ในหลายจังหวัดที่เชื่อว่าจะต้องตบเท้าออกไปค่อนข้างแน่
ดังนั้น สำหรับพล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ เวลานี้ถือว่า กำลังถดถอยลงเรื่อยๆ จนอาจเรียกได้ว่า “พยัคฆ์กำลังสิ้นลาย” ก็อาจกล่าวเช่นนั้นได้ จากเดิมที่เคยเป็น “ศูนย์กลางอำนาจ” มาวันนี้ทุกอย่างกำลังเปลี่ยนแปลง จนแทบไม่เหลือเค้าเดิมอีกแล้ว ขณะเดียวกันในทางการเมืองยังไม่เห็นอนาคตเลย !!
ที่มา : MgrOnline