"ทนายสายหยุด" เข้าเรือนจำคุย "ทนายตั้ม" ปม 39 ล.ถ้าผิดจริงจะแนะนำให้สารภาพ ไม่รับทำคดีแน่นอน ส่วนก้อน 71 ล.ขอไกล่เกลี่ยคืนเงิน
เผยแพร่ : 19 พ.ย. 2567 17:28:23
MGR Online - ทนายสายหยุด เผยเข้าเยี่ยม "ทนายตั้ม" คุยหลายประเด็น ปมเงิน 39 ล. หากผิดจริงแนะให้สารภาพ แต่จะไม่รับทำคดีนี้แน่นอน ส่วนจำนวน 71 ล. ขอไกล่เกลี่ยคืนเงิน แต่ถ้าไม่คืนตนจะตัดสินใจว่าจะว่าความต่อหรือไม่
วันนี้ (19 พ.ย.) เวลา 13.30 น. บริเวณด้านหน้าเรือนจำพิเศษกรุงเทพมหานคร นายสายหยุด เพ็งบุญชู ทนายความ เข้าเยี่ยม นายษิทรา เบี้ยบังเกิด หรือ "ทนายตั้ม" ออกมาเปิดเผยหลังเข้าเยี่ยมลูกความ ว่า วันนี้ได้เข้าเยี่ยมทนายตั้มอย่างใกล้ชิด ในลักษณะใช้โทรศัพท์โทรคุยกัน แต่มีกระจกกั้น ซึ่งไม่ได้มองหน้ากัน เนื่องจากทนายตั้มให้ข้อมูลผ่านทางโทรศัพท์และตัวเองต้องเร่งจดบันทึก ซึ่งพูดเรื่องความเป็นอยู่ ทนายตั้มสามารถปรับตัวได้ ไม่ได้มีความกังวลหรือเครียด และไม่ได้ร้องขออะไรเป็นพิเศษ
ทนายสายหยุด กล่าวว่า ส่วนภรรยาทนายตั้มจะฝากทางญาติเข้าไปเยี่ยมทุกวันโดยตรง ส่วนตัวไม่ทราบว่ามีพี่เลี้ยง “แอม ไซยาไนด์” อยู่ด้วยหรือไม่ ส่วนเรื่องการประกันตัวทั้งคู่ ยังไม่ได้มีการพูดคุย เนื่องจากยื่นประกันตัวไปแล้วไม่ได้ จะต้องรอพนักงานสอบสวนส่งฝากขังผัดที่ 2 ว่าจะให้เหตุผลอย่างไร ถึงจะพิจารณาอีกครั้งหนึ่งว่าทางพนักงานสอบสวนจะยังคัดค้านการประกันตัวอยู่หรือไม่
ถามว่าสำหรับคดี 39 ล้านบาทนั้น จะสามารถดำเนินการและสู้ต่อไหวหรือไม่ ทนายสายหยุด กล่าวว่า ส่วนตัวดูจากสำนวนคดีเป็นหลัก โดยไม่ได้ฟังจากสื่อและเรื่องเล่าปากต่อปาก
ถามว่าส่วนที่ อาจารย์ปานเทพ พัวพงษ์พันธ์ คณบดีสถาบันแพทย์แผนบูรณาการและเวชศาสตร์ชะลอวัย มหาวิทยาลัยรังสิต ออกมาเปิดเผยว่า คดี 39 ล้านบาทเป็นสารตั้งต้นที่ทำให้ทนายตั้มถูกดำเนินคดีนั้น ทนายสายหยุด ระบุว่า เรื่องนี้ตัวเองไม่ขอก้าวล่วง เพราะเป็นเรื่องวาทกรรมในการข่าว ส่วนตัวจะดำเนินการไปตามสำนวนและแนวทางคดี
เมื่อถามว่าในส่วนข้อมูลที่ได้รับรู้จากการเผยแพร่จากสื่อมวลชน กับข้อมูลที่ได้รับจากทนายตั้มมองว่าเพลี่ยงพล้ำในเรื่องของการที่จะต่อสู่คดีหรือไม่ ทนายสายหยุด กล่าวว่า ในทางคดีนุกับสาริณี ยังไม่มีหลักฐานการซัดทอดมาที่ทนายตั้ม ถึงแม้ว่าทั้ง 2 คน จะถูกดำเนินคดี รวมทั้งตำรวจได้ประกาศว่าจะดำเนิคดีกับทนายตั้มก็ตาม เพราะข้อเท็จจริงทนายตั้มยังไม่ถูกดำเนินคดี ฉะนั้นตัวเองต้องไปขอข้อมูลจากทนายตั้มและมาศึกษา หากว่าทนายตั้มผิดจริงก็แนะนำจะให้รับสารภาพ เพราะตัวเองยืนยันว่าจะไม่รับทำคดีแน่นอน เพราะหากทำแล้วแพ้ ส่วนนุกับสาริณีนั้นเป็นผู้กระทำ เป็นคนที่ใกล้ชิดกับพฤติการณ์และเป็นตัวรับเงิน ก็จะต้องถูกดำเนินคดีอยู่แล้วเป็นธรรมดา
ถามว่าส่วนพยานหลักฐานที่มีความชัดเจนถึงการขนย้ายเงินจำนวน 39 ล้านบาทด้วยการใส่กระเป๋า ทนายสายหยุด กล่าวว่า ตัวเองเพิ่งเห็นตามภาพสื่อเช่นกัน รายละเอียดทางคดีไม่ขอออกความคิดเห็น ขอเห็นเอกสารหรือข้อเท็จจริงที่พนักงานสอบสวนจะแจ้งข้อกล่าวหาก่อน
"เบื้องต้นเท่าที่ได้รับข้อมูลจากทนายตั้ม พบว่า มีพยานหลักฐานที่จะสามารถต่อสู้คดีได้ โดยทนายตั้มได้มีการเตรียมพยานหลักฐานดังกล่าวไว้แล้ว ส่วนเจ้าตัวจะหลอกหรือสับขาอย่างไรนั้น ก็เป็นเรื่องของทนายตั้ม ซึ่งเรื่องนี้เกิดขึ้นมานานแล้ว พยานหลักฐานจะเหลือร่องรอยมากน้อยแค่ไหนก็ต้องไปตรวจสอบพิจารณาอีกครั้ง"
ทนายสายหยุด กล่าวอีกว่า สำหรับคดี 71 ล้านบาท ขณะนี้ได้มีการพูดคุยทนายของเจ๊อ้อยในเรื่องของการไกล่เกลี่ยเพื่อจะเยียวยา ซึ่งเมื่อไปถึงชั้นศาลและคดีเกี่ยวข้องกับการฉ้อโกง ศาลก็จะให้ไกล่เกลี่ยกันอยู่แล้วและเจตนาส่วนตัว ก็คือ เมื่อเป็นหนี้แล้วเค้าทวงเราก็ต้องใช้ แต่หากว่าในอนาคตทนายตั้มไม่คืน ก็จะมีเหตุที่ทำให้ตนตัดสินใจเกี่ยวกับการทำงานหลังจากนี้ พร้อมย้ำว่า “หากเป็นหนี้แล้วทนายตั้มไม่ใช้นั้น จะสามารถเป็นเหตุผลในการตัดสินใจว่า จะว่าความต่อหรือไม่”
เมื่อถามว่าส่วนที่ อาจารย์ปานเทพ ออกมาเปิดเผยว่า ทนายตั้มมีกรณีเรื่องของการทำพินัยกรรมและให้ตัวเองเป็นผู้จัดการมรดกของเจ๊อ้อย ทนายสายหยุด เผยว่า ไม่ขอวิพากษ์วิจารณ์ในกรณีนี้ แต่ยอมรับมีการพูดคุยกับทนายตั้มจริง ซึ่งเจ้าตัวบอกทำลายไปแล้ว และการยกเลิกก็ไม่น่ามีปัญหาอะไร เรื่องนี้เป็นเรื่องเจ๊อ้อยและทนายตั้ม ตนเองไม่ทราบ
ทนายสายหยุด กล่าวเสริมว่า ส่วนเรื่องที่มีการอ้างว่าทนายตั้มติด GPS ในรถของเจ๊อ้อย ทนายตั้มยืนยันว่า ไม่ได้ติด ซึ่งมันก็ไม่สามารถระบุได้ว่ามีสัญญาณหรือไม่ ไม่สามารถยืนยันได้
เมื่อถามว่าในส่วนที่สังคมชื่นชมการทำงานและการพูดอย่างตรงไปตรงมา ทนายสายหยุด ระบุว่า ไม่รู้ว่าจะมาพูดอ้อมค้อมทำไม ไม่ต้องดัดจริต การออกมาพูดให้สวยหล่อนั้น มองว่าพูดเรื่องจริงง่ายกว่า คนฟังรู้เรื่องว่าอะไรโกหก อะไรไม่โกหก ตนมีหน้าที่ทนายความ ทนายตั้มจ้างตนก็ต้องทำ หากรับเงินมาแล้วเขาติดคุก สังคมประณาม แล้วถ้าตนไม่ทำเพราะกลัวเสียชื่อเสียงมองว่ามันไม่ใช่ต้องแยกแยะ
ที่มา : MgrOnline