แผนการทูตของ ‘โดนัลด์ ทรัมป์’ ไม่ใช่แค่ตกลงกับรัสเซียยุติศึกยูเครน แต่ยังครอบคลุมถึงการต่อรองเรื่องไต้หวันกับจีน และเข้าสู่ระบบโลกแบบมีหลายขั้วอำนาจ

เผยแพร่ : 23 ก.พ. 2568 21:48:17
X
• ประธานาธิบดีสหรัฐฯ พยายามหลีกเลี่ยงสงคราม
• เจรจากับประธานาธิบดีรัสเซียเพื่อยุติสงครามในยูเครน
• เจรจากับประธานาธิบดีจีนเพื่อสร้างเสถียรภาพในสถานการณ์ไต้หวัน
ผู้เข้าชมยืนอยู่หน้างานศิลปะชิ้นหนึ่งที่เป็นภาพของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ แห่งสหรัฐฯ, ประธานาธิบดีวลาดิมีร์ ปูติน แห่งรัสเซีย, และประธานาธิบดี สี จินผิง ของจีน ในงานนิทรรศการซึ่งใช้ชื่อว่า “ยัลตา 2.0” โดยที่นิทรรศการนี้จัดขึ้นมาเพื่อมุ่งอ้างอิงของการประชุมยัลตาเมื่อปี 1945  ณ ห้องแสดงงานศิลปะแห่งหนึ่งในสวนสาธารณะลิวาเดีย (Livadia park) ในเมืองยัลตา แหลมไครเมีย เมื่อวันที่ 8 กุมภาพันธ์ 2025 ที่ผ่านมา
(เก็บความจากเอเชียไทมส์ www.atimes.com)

Donald Trump’s multipolar diplomacy
by David P. Goldman and Uwe Parpart
20/02/2025

ประธานาธิบดีสหรัฐฯผู้นี้กำลังแสวงหาทางหลีกเลี่ยงไม่ให้เกิดสงคราม ทั้งด้วยการเจรจากับประธานาธิบดีรัสเซีย เพื่อยุติสงครามในยูเครน และทั้งด้วยการต่อรองกับประธานาธิบดีจีน เพื่อทำให้ประเด็นปัญหาเรื่องไต้หวันมีเสถียรภาพคาดเดากันได้มากยิ่งขึ้น จากนั้นก็จะเสนอให้มหาอำนาจทั้ง 3 รายนี้ลดงบประมาณด้านกลาโหมของตนเองลงครึ่งหนึ่ง ซึ่งสำหรับสหรัฐฯที่ปัญหาการขาดดุลงบประมาณกำลังทับถมใหญ่โตขึ้นทุกที มันก็คือการหลบเลี่ยงออกจากวิกฤตหนี้สินซึ่งมีอันตรายที่จะระเบิดตูมตามขึ้นมา

โดนัลด์ ทรัมป์ มีการดีไซน์แผนการอันยิ่งใหญ่ในการก้าวไปสู่โลกที่มีหลายขั้วอำนาจรูปแบบใหม่ ได้แก่ การสร้างสันติภาพขึ้นในยูเครน, การทำให้ประเด็นเรื่องไต้หวันมีเสถียรภาพ, แล้วจากนั้นก็ตัดลดรายจ่ายด้านกลาโหมลงมาครึ่งหนึ่ง, ซึ่งก็จะเป็นหนทางทำให้สหรัฐฯสามารถหลีกหนีจากวิกฤตหนี้สินที่จะปะทุขึ้นมาในท้ายที่สุด

ทรัมป์นั้นมีการอธิบายให้สาธารณชนรับทราบอย่างชัดเจนว่าเขากำลังมุ่งหน้าทำอะไรและทำไมต้องทำอย่างนั้น มากยิ่งกว่าประธานาธิบดีคนก่อนหน้าเขาไม่ว่าคนไหน ความงงงวยประหลาดใจที่พวกผู้นำยุโรปและสื่อมวลชนแสดงออกมาหลังจากได้ยินคำพูดของทรัมป์ตลอดจนพวกผู้ช่วยคนสำคัญๆ ของเขา จึงไม่ได้มีต้นตอมาจากการที่ข้อความซึ่งทรัมป์ส่งออกมานั้นขาดความชัดเจน แต่เป็นเพราะพวกเขาเหล่านั้นอยู่ในโหมดปฏิเสธไม่ยอมรับต่างหาก ทั้งนี้ ในระเบียบโลกใหม่ดังกล่าวนี้ พวกอดีตลูกค้าของอเมริกาจะแทบไม่มีบทบาทอะไรเลย

การเจรจาต่อรองกันระหว่างสหรัฐฯ-รัสเซียที่เปิดฉากขึ้นเมื่อวันที่ 18 กุมภาพันธ์ในซาอุดีอาระเบีย คือลางบอกเหตุถึงการทำความตกลงกันที่จะไปไกลยิ่งกว่าสงครามยูเครนเสียอีก

“หนึ่งในการพบปะกันครั้งแรกๆ ที่ผมต้องการจะให้มีขึ้น ก็คือ (การพบปะ) กับประธานาธิบดีสีของจีน และกับประธานาธิบดีปูตินของรัสเซีย โดยที่ผมต้องการพูด (กับพวกเขาว่า) ‘มาหั่นงบประมาณทางทหารของพวกเราลงครึ่งหนึ่งกันเถอะ เรากำลังจะทำให้พวกเขาต้องใช้จ่ายเงินทองลดลงตั้งเยอะแยะ และเราก็กำลังจะต้องใช้จ่ายเงินทองลดลงตั้งเยอะแยะเหมือนกัน และผมรู้ดีว่าพวกเขาก็ต้องการจะทำอย่างนั้น” ทรัมป์บอกกับพวกผู้สื่อข่าวเช่นนี้เมื่อวันที่ 13 กุมภาพันธ์ที่ผ่านมา

ทรัมป์อาจจะเข้าร่วมการเฉลิมฉลองชัยชนะในยุโรป (เหนือกองทัพนาซีเยอรมนี ในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 ซึ่งกองทัพสหภาพโซเวียตมีบทบาทสำคัญยิ่งในกองทหารฝ่ายสัมพันธมิตร -ผู้แปล) ที่เวียนบรรจบครบรอบ 80 ปีในวันที่ 9 พฤษภาคม ณ กรุงมอสโก โดยที่ สี จินผิง ตกปากรับคำจะเข้าร่วมแน่นอนแล้ว เว็บไซต์ข่าวภาษาจีน guancha.cn [1] (guancha คำในภาษาจีนแปลว่า “ผู้สังเกตการณ์” หรือ “observer” ในภาษาอังกฤษ) เมื่อวันที่ 19 กุมภาพันธ์ คาดเก็งเอาไว้ว่า ทรัมป์อาจจะถือโอกาสให้มีการหารือกันระหว่างผู้นำ 3 ชาติ ที่จะกลายเป็น “การประชุมยัลตา” (Yalta conference) ครั้งใหม่ ซึ่งเป็นการอ้างอิงถึงการหารือกันเมื่อปี 1945 ระหว่าง (แฟรงคลิน ดี.) รูสเวลต์ (Frankin D. Roosevelt ประธานาธิบดีของสหรัฐฯในขณะนั้น), (วินสตัน) เชอร์ชิล (Winston Churchill นายกรัฐมนตรีของสหราชอาณาจักร), และ (โจเซฟ) สตาลิน (Joseph Stalin เลขาธิการใหญ่พรรคคอมมิวนิสต์สหภาพโซเวียต) ที่เมืองยัลตา บนแหลมไครเมีย ซึ่งมีการวาดภาพคร่าวๆ เกี่ยวกับระเบียบโลกที่จะเกิดขึ้นมาในยุคหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 ทั้งนี้พวกเจ้าหน้าที่รัฐบาลรัสเซียก็มีการพูดเป็นนัยๆ ด้วยเช่นกันว่าทรัมป์อาจจะเดินทางไปมอสโก

การแสดงความคิดเห็นของประธานาธิบดีทรัมป์ ระหว่างการพูดจากับพวกผู้สื่อข่าวเมื่อวันที่ 18 กุมภาพันธ์ ที่ มาร์-อะ-ลาโก (Mar-a-Lago รีสอร์ตส่วนตัวของทรัมป์ซึ่งตั้งอยู่ที่รัฐฟลอริดา) กระตุ้นให้เกิดเสียงวิพากษ์วิจารณ์อย่างโกรธเกรี้ยวจากพวกสื่อมวลชนกระแสหลัก โดยที่เขาบอกว่า “วันนี้ ผมได้ยินเสียงพูด (จากยูเครน) ว่า ‘โอ้ (แย่แล้ว) เราไม่ได้รับเชิญ’ (ให้เข้าร่วมการเจรจาระหว่างสหรัฐฯ-รัสเซียที่ซาอุดีอาระเบีย) อ้าว คุณ (ยูเครน) มีเวลาอยู่ตั้ง 3 ปีนะ คุณควรจะจบมัน (สงครามในยูเครน) ได้ใน 3 ปี คุณไม่ควรที่จะเริ่มมันขึ้นมาด้วยซ้ำไป คุณควรที่จะทำข้อตกลงไปแล้วนะ”

แน่นอนทีเดียว รัสเซียเป็นผู้เริ่มต้นความขัดแย้งทางทหารคราวนี้ขึ้นมา แต่ทรัมป์ดูเหมือนจะพูดอ้างอิงถึงการที่ เซเลนสกี เพิกเฉยโยนทิ้ง กรอบโครงข้อตกลงกรุงมินสก์ฉบับที่ 2 (Minsk II) (ซึ่งสาระสำคัญคือการให้ชาวยูเครนที่พูดภาษารัสเซียมีอำนาจปกครองตนเอง ภายในประเทศยูเครนซึ่งยังคงมีอำนาจอธิปไตยและเดินนโยบายเป็นกลาง) โพลิติโค (Politico เว็บไซต์ข่าวออนไลน์ในสหรัฐฯ) ที่เพิ่งถูกเปิดโปงว่าเป็นผู้รับเงินอุดหนุนจำนวนหลายสิบล้านดอลลาร์จาก ยูเอสเอด (USAID) ได้ออกมาประณามทรัมป์ว่า กำลังพูดจาที่เป็นเหมือน “เสียงก้องสะท้อนของทำเนียบเครมลิน”
ยูเอสเอด (USAID ย่อมาจาก United States Agency for International Development องค์การเพื่อการพัฒนาระหว่างประเทศของสหรัฐฯ ซึ่งเป็นหน่วยงานให้ความช่วยเหลือต่างประเทศของอเมริกา ที่กำลังถูกทรัมป์วิพากษ์วิจารณ์และมุ่งยุบเลิก โดยระบุว่าเป็นกลไกสำคัญอย่างหนึ่งของพวก “รัฐพันลึก” deep state -ผู้แปล)

ทว่าทรัมป์ไม่ได้แสดงอาการสะทกสะท้าน “มันดำเนินไปอย่างดีมาก” เขากล่าวที่ มาร์-อะ-ลาโก ถึงการเจรจากับรัสเซียที่ซาอุดีอาระเบีย ซึ่งเกิดขึ้นในวันที่ 18 กุมภาพันธ์ “รัสเซียต้องการทำอะไรบางสิ่งบางอย่าง พวกเขาต้องการที่จะยุติความป่าเถื่อนโหดร้ายเช่นนี้”

การประชุมยัลตาครั้งดั้งเดิม ถูกมองว่าเป็นหลักหมายแสดงถึงความวิบัติหายนะที่เกิดขึ้นกับยุโรปกลางและเยอรมันตะวันออก ซึ่งถูกจัดสรรให้ต้องอยู่ใต้การปกครองของรัสเซีย ทว่าการอ้างอิงถึงสิ่งที่เคยเกิดขึ้นในประวัติศาสตร์ก็ใช้เป็นคำอธิบายที่ฟังขึ้นทีเดียว นั่นคือ พวกมหาอำนาจยิ่งใหญ่คือผู้กำหนดเงื่อนไขต่างๆ ขณะที่พวกเพลเยอร์ระดับเล็กๆ ได้รับมอบหมายให้ต่อรองกันที่โต๊ะเจรจาของระดับเด็กๆ อย่างที่สื่อ ดี เวลท์ (Die Welt) ของเยอรมนี กล่าวเอาไว้ในวันที่ 16 กุมภาพันธ์

ขณะที่สหราชอาณาจักร ซึ่งนายกรัฐมนตรีบอริส จอห์นสัน ในขณะนั้นของพวกเขา ได้เคยช่วยขัดขวางทำให้การเจรจาเพื่อสันติภาพในยูเครนเมื่อตอนต้นปี 2022 ไม่ประสบความสำเร็จ ในตอนนี้กลับหายตัวไปยกเว้นแต่แสดงอารมณ์ขันอย่างมีเจตนาร้ายของพวกเขาออกมาเท่านั้น

อย่างที่ “ตาลเลย์รองด์” (Talleyrand) บัณฑิตผู้รู้ของ ดิ อีโคโนมิสต์ [2] (The Economist นิตยสารรายสัปดาห์ชื่อดังของสหราชอาณาจักร) เมื่อวันที่ 19 กุมภาพันธ์ คร่ำครวญอย่างเศร้าเสียใจต่อ “การที่ผู้คนจำนวนมากของโลกแสดงความพรักพร้อมที่จะยอมรับการถูกดูหมิ่นเหยียดหยามของยูเครนตลอดจนของเหล่าเพื่อนมิตรชาวยุโรป แบบแผนเช่นว่านี้ได้ถูกกำหนดจัดวางเอาไว้ตั้งนมนานมาแล้ว อย่างเช่น ฝ่ายเวียดนามใต้ถูกจัดเอาไว้ตรงไหนล่ะในการเจรจาสันติภาพในกรุงปารีส? พวกผู้ปกครองหุ่นเชิดของอัฟกานิสถานอยู่ที่ไหนล่ะ เมื่อสหรัฐอเมริกาหันมาพูดจากับพวกตอลิบานในท้ายที่สุด? แล้วมาถึงตอนนี้ มิสเตอร์เซเลนสกีผู้เข้มแข็งจะเป็นยังไง? พวกตัวแทน (proxy) ทั้งหลายแทบจะได้รับการปฏิบัติแบบนี้อยู่เสมอนั่นแหละ ด้วยเหตุนี้ ... ถ้าฝ่ายยูเครนมีความเฉลียวฉลาดแล้ว พวกเขาก็ควรจะร้องขออย่างเงียบๆ ด้วยการยื่นใบสมัครเพื่อเข้าเป็นสมาชิกของกลุ่มบริกส์ (BRICS) เสียเลย ขอต่อคิวด้วยคน”

เรื่องที่จะมีการจัดประชุมซัมมิต 3 ฝ่าย (ระหว่างรัสเซีย-จีน-สหรัฐฯ) ขึ้นมาในกรุงมอสโกหรือไม่นั้น ยังคงห่างไกลจากคำว่าแน่นอน แต่ถ้ามันเกิดขึ้นมา วาระของการพูดจากันก็น่าจะออกมาคล้ายๆ กับอะไรอย่างนี้ ได้แก่

1) การหยุดยิงในยูเครน โดยที่รัสเซียได้เข้าควบคุมอย่างถาวรในดินแดนที่พวกเขายึดเอาไปครอบครองได้แล้ว รวมไปถึงดินแดนส่วนใหญ่ของแคว้นโดเนตสก์ (Donetsk) และแคว้นลูฮันสก์ (Luhansk) ที่เป็นดินแดนแกนหลักของพวกผู้พูดภาษารัสเซีย พร้อมๆ กับการจัดเลือกตั้งครั้งใหม่ในยูเครน ซึ่งแทบเป็นการแน่นอนทีเดียวว่าจะเป็นการกำจัดเซเลนสกีให้ออกจากเวทีไป กองกำลังรักษาสันติภาพจากบางชาติยุโรปหรือจากสหราชอาณาจักร อาจจะได้รับความยินยอมให้จัดตั้งขึ้นมาก็ได้ เมื่อพิจารณาจากความเป็นจริงที่ว่าพวกยุโรปนั้นถึงยังไงก็มีกองกำลังอาวุธซึ่งสามารถจัดส่งออกมาทำหน้าที่เช่นนี้ได้เป็นจำนวนน้อยเกินไปกว่าจะสร้างความลำบากยุ่งยากอะไรขึ้นมา รวมทั้งรัฐมนตรีกลาโหม พีท เฮกเซธ ของสหรัฐฯ ก็ได้ประกาศเรียบร้อยแล้วว่า กองกำลังรักษาสันติภาพเช่นนี้จะไม่ได้รับความคุ้มครองจากบทมาตราว่าด้วยการป้องกันร่วมกันของสนธิสัญญานาโต้

2) การเร่งยุติมาตรการแซงก์ชั่นทางเศรษฐกิจที่ใช้กับรัสเซียอย่างรวดเร็ว แต่การจัดส่งก๊าซจากรัสเซียมายังยุโรป จะได้รับการฟื้นชีพขึ้นมาอีกหรือไม่นั้นเป็นเรื่องที่ต้องขึ้นอยู่กับการเจรจากัน เมื่อพิจารณาว่าทรัมป์ย่อมปรารถนาที่จะขายก๊าซธรรมชาติของสหรัฐฯมากกว่าให้รัสเซียกลับมาขายก๊าซของพวกเขาอีกครั้ง (โดยที่ของสหรัฐฯนั้นขายกันในราคาคำนวณคร่าวๆ ก็อยู่ที่ราวๆ 2 เท่าตัวของราคาของฝ่ายรัสเซีย)

3) การทำข้อตกลงกับจีนเพื่อสร้างเสถียรภาพให้แก่สถานะของไต้หวัน บางทีเรื่องนี้อาจจะด้อยลงมาไม่ถึงกับเป็นการทำข้อตกลงเซี่ยงไฮ้ (Shanghai Agreement ) ฉบับใหม่ (ทั้งนี้สนธิสัญญาเซี่ยงไฮ้ฉบับเดิมที่ลงนามกันในปี 1972 คือข้อตกลงรื้อฟื้นความสัมพันธ์ทางการทูตระหว่างสหรัฐฯกับจีน) แต่ก็จะมีความแข็งแรงเพียงพอที่จะสร้างความพอใจให้แก่ทั้งสองฝ่าย

4) การเริ่มต้นการเจรจาเรื่องอาวุธนิวเคลียร์ ในขนาดขอบเขตของข้อตกลงที่ (โรนัลด์) เรแกน (Ronald Reagan ประธานาธิบดีสหรัฐฯในเวลานั้น) กับ (มิคฮาอิล) กอร์บาชอฟ (Mikhail Gorbachev ประธานาธิบดีสหภาพโซเวียตในตอนนั้น) กระทำกัน ณ กรุงเรกยาวิก ประเทศไอซ์แลนด์ เมื่อปี 1986

หยัน โม่ (Yan Mo) คอลัมนิสต์ของเว็บไซต์ข่าว “ผู้สังเกตการณ์” เสนอเอาไว้ในข้อเขียนเมื่อวันที่ 19 กุมภาพันธ์ว่า วัตถุประสงค์หลักของทรัมป์ในไต้หวันก็คือ การนำเอาโนวฮาวของบริษัทไต้หวัน เซมิคอนดักเตอร์ แมนูแฟคเจอริ่ง คอมพานี (Taiwan Semiconductor Manufacturing Company หรือ TSMC) เข้ามายังสหรัฐฯ ทั้งนี้ ปัจจุบัน TSMC เป็นผู้ผลิตชิประดับก้าวหน้า (ขนาด 4 นาโนเมตรและที่เล็กลงไปกว่านั้นอีก) ถึงราวๆ 90% ของโลก

หลังจากชี้ว่า ทรัมป์ได้เอ่ยอ้างถึงเรื่องจะขึ้นภาษีศุลกากรในอัตรา 100% จากชิปไต้หวันที่ส่งออกมายังสหรัฐฯ หยัน เขียนต่อไปว่า “ทรัมป์ทราบดีว่ามันเป็นเรื่องไม่มีความหมายอะไรเลย หากจะบังคับขึ้นภาษีศุลกากรเอากับ TSMC เพราะถึงอย่างไร TSMC ก็อยู่ในฐานะเป็นผู้ผูกขาดชิประดับก้าวหน้า อย่างเบ็ดเสร็จเด็ดขาด ... ไม่ว่าจะบังคับเก็บภาษีศุลกากรในอัตราสูงขนาดไหน มันก็จะแบกรับไว้โดยพวกลูกค้าอยู่ดี ไม่ได้กระทบกระเทือนไปถึง TSMC แต่อย่างไร โดยในปัจจุบัน พวกผู้ซื้อรายหลักๆ ในชิปที่ผลิตด้วยกระบวนการก้าวหน้าล้ำยุคของ TSMC แทบทั้งหมดคือพวกลูกค้าชาวอเมริกัน”

สิ่งที่เป็นเจตนารมณ์ของทรัมป์นั้น คอลัมนิสต์ชาวจีนผู้นี้กล่าวต่อ คือการบังคับให้ TSMC ต้องยอมจัดตั้งโรงงานขึ้นในสหรัฐฯอีกหลายๆ แห่ง (เวลานี้ TSMC กำลังจะเปิดเดินเครื่องโรงงานแห่งหนึ่งของตนที่ตั้งอยู่ในรัฐแอริโซนา ภายหลังจากต้องล่าช้าเลื่อนแล้วเลื่อนอีกมาเป็นปีๆ) หรือไมก็ควบรวม TMSC เข้ากับผู้ผลิตชิปสหรัฐฯที่เคยยิ่งใหญ่แต่เวลานี้กำลังอยู่ในอาการดิ้นรนเอาตัวรอดอย่าง อินเทล ซึ่งจะส่งผลทำให้ได้รับเทคโนโลยีของ TSMC

พิจารณาจากจุดยืนทางด้านความมั่นคงแห่งชาติ เรื่องนี้สมเหตุสมผลทีเดียว กล่าวคือ สหรัฐฯไม่ต้องการที่จะพึ่งพาอาศัยสาธารณรัฐประชาชนจีนในเรื่องชิประดับก้าวหน้า หากเกิดเหตุการณ์ที่ไต้หวันถูกกลืนเข้าไปรวมกับจีนแผ่นดินใหญ่

เมื่อสัปดาห์ที่แล้ว กระทรวงการต่างประเทศสหรัฐฯได้ตัดทอนถ้อยคำวลีหนึ่งออกจากเอกสารข้อเท็จจริง (fact sheet) [3] เกี่ยวกับไต้หวันของทางกระทรวง ที่ระบุว่าสหรัฐฯไม่สนับสนุนให้ไต้หวันเป็นเอกราช เรื่องนี้คือความเคลื่อนไหวเพื่อการต่อรองเจรจากัน คอลัมนิสต์ของ “ผู้สังเกตการณ์ ผู้นี้แสดงความเห็นว่า “การที่กระทรวงการต่างประเทศสหรัฐฯตัดสินใจลบทิ้งข้อความที่ระบุว่า 'ไม่สนับสนุนเอกราชของไต้หวัน' นั้น เป็นการแสดงท่าทีเพื่อให้มีการเจรจาต่อรองกันกับจีนแผ่นดินใหญ่” หากเป็นเช่นว่านี้จริงๆ มันก็เป็นการเดินหมากเพื่อการเจรจาต่อรองที่ฉลาดหลักแหลมทีเดียว

โลกที่มีขั้วอำนาจเดียวซึ่งก็คือสหรัฐฯนั้น เกิดขึ้นหลังจากการล้มครืนลงของสหภาพโซเวียต และระเบียบโลกดังกล่าวนี้ก็เดินทางมาจนกระทั่งวันเวลาใช้งานได้ของมันสิ้นสุดลงในเดือนมีนาคม 2022 เมื่อประธานาธิบดีไบเดนประกาศว่า เศรษฐกิจรัสเซียจะต้องหดตัวลงจนเหลือแค่ครึ่งหนึ่งแล้ว รวมทั้ง วลาดิมีร์ ปูติน จะถูกบีบบังคับให้พ้นออกไปจากทำเนียบเครมลิน นอกจากนั้น ในเดือนตุลาคม 2022 สหรัฐฯได้ประกาศบังคับใช้มาตรการควบคุมเทค ซึ่งนักวิเคราะห์สหรัฐฯคนสำคัญคนหนึ่ง [4] โหมประโคมว่า เป็น “นโยบายใหม่ของสหรัฐฯที่จะมีความคึกคักแข็งขันในการรัดคอภาคส่วนใหญ่ๆ ของอุตสาหกรรมเทคโนโลยีของจีนให้หายใจไม่ออก –เป็นการรัดคอด้วยเจตนาที่จะฆ่าให้ตาย”

แต่ความพยายามของ ไบเดน ที่จะลอกเลียนแบบ ไมเคิล คอร์เลโอเน (Michael Corleone) ในตอนจบของภาพยนตร์เรื่องเจ้าพ่อมาเฟีย ภาคแรก (The Godfather I) ปรากฏว่าประสบผลอย่างย่ำแย่เต็มที เศรษฐกิจของรัสเซียกลับขยายตัวแทนที่จะพังทลาย และสามารถผลิตอาวุธได้มากกว่าที่พวกประเทศนาโต้รวมกันผลิตได้เสียอีก เวลาเดียวกันจีนก็ค้นพบวิธีการต่างๆ ในการหลบหลีกข้ามลอดมาตรการควบคุมของสหรัฐฯ และกำลังผลิตพวกชิประดับไฮเอนด์ของตัวเองขึ้นมา รวมทั้งสามารถสร้างระบบเอไอที่อุดมด้วยนวัตกรรม

รัฐมนตรีต่างประเทศสหรัฐฯ มาร์โค รูบิโอ พูดสิ่งที่ถือได้ว่าเป็นคำไว้อาลัยการตายของระบบโลกซึ่งมีขั้วอำนาจเพียงขั้วเดียว เอาไว้เมื่อวันที่ 30 มกราคม ว่า “มันไม่ใช่เรื่องธรรมดาสามัญเลยที่โลกจะมีมหาอำนาจอยู่เพียงแค่หนึ่งเดียว” เขาบอกกับ เมเกน เคลลี (Megyn Kelly) [5] ที่สัมภาษณ์เขาว่า โลกที่มีขั้วอำนาจเพียงขั้วเดียว “เป็นความผิดปกติ มันเป็นผลผลิตของการสิ้นสุดลงของสงครามเย็น แต่ว่าในท้ายที่สุดแล้วคุณก็กำลังหวนกลับมาถึงจุดที่คุณต้องมีโลกที่มีขั้วอำนาจหลายขั้ว มีมหาอำนาจยิ่งใหญ่หลายๆ รายอยู่กันในส่วนต่างๆ ของพิภพแห่งนี้”

เดวิด พี โกลด์แมน เป็นผู้ช่วยบรรณาธิการของเอเชียไทมส์ อูเว พาร์พาร์ต เป็นบรรณาธิการใหญ่ของเอเชียไทมส์

เชิงอรรถ
[1] https://www.guancha.cn/yanmo/2025_02_19_765548_s.shtml
[2] https://princetalleyrand.substack.com/p/morning-in-europe
[3] https://www.state.gov/u-s-relations-with-taiwan/
[4] https://www.chinatalk.media/p/choking-off-chinas-ai-access
[5] https://www.state.gov/secretary-marco-rubio-with-megyn-kelly-of-the-megyn-kelly-show/
ตุ๊กตาไม้ตามประเพณีรัสเซียที่เรียกกันว่า ตุ๊กตามาตรีออชคา (Matryoshka doll) ทำเป็นรูปของประธานาธิบดีวลาดิมีร์ ปูติน และประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ วางจำหน่ายอยู่ที่ร้านขายของที่ระลึกแห่งหนึ่งบนถนนอาร์บัต ซึ่งเป็นย่านท่องเที่ยวใจกลางกรุงมอสโก ในภาพนี้ที่ถ่ายเมื่อวันที่ 13 กุมภาพันธ์ ที่ผ่านมา
(หมายเหตุผู้แปล – หลังจากเอเชียไทมส์เผยแพร่ข้อเขียนชิ้นนี้ ในเวลาต่อมา ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ได้กล่าวปฏิเสธเมื่อวันที่ 21 กุมภาพันธ์แล้วว่า เขาไม่มีแผนการเดินทางไปเข้าร่วมงานสวนสนามฉลองชัยชนะเหนือนาซีของรัสเซียในวันที่ 9 พฤษภาคม และพบปะกับประธานาธิบดีวลาดิมีร์ ปูติน ตามที่มีข่าวลือแพร่ออกมา เวลาเดียวกัน ดมิตริ เปสคอฟ โฆษกทำเนียบเครมลิน ก็ปฏิเสธว่าไม่ได้มีแผนการที่ผู้นำทั้งสองจะพบกันดังที่เป็นข่าว ทั้งนี้ตามรายงานของอาร์ที สื่อทีวีและเว็บไซต์ของทางการรัสเซีย จึงขอเก็บความนำมาเสนอเพิ่มเติมในที่นี้ ดังนี้:)

ทรัมป์ปฏิเสธไม่มีแผนเข้าร่วมพาเหรดฉลองชัยชนะที่กรุงมอสโก 9 พ.ค.นี้
โดย อาร์ที

Trump rules out attending Moscow victory parade
By RT
21/02/2025

ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ของสหรัฐฯ ออกมาปฏิเสธข่าวลือที่ว่า เขากำลังมีแผนการจะเดินทางไปเข้าร่วมการเดินขบวนสวนสนามประจำปีเพื่อเฉลิมฉลองชัยชนะในสงครามโลกครั้งที่ 2 ที่กรุงมอสโก การแถลงครั้งนี้ของเขามีขึ้นขณะที่สหรัฐฯกับรัสเซียได้เริ่มต้นพูดจาโดยตรงกันอีกครั้งในเรื่องการหาทางยุติการสู้รบขัดแย้งยูเครน

ตามรายงานข่าวของ เดอะ ไทมส์ (The Times) เมื่อถูกผู้สื่อข่าวสอบถามในวันศุกร์ (21 ก.พ.) ว่าตกลงเขาจะเดินทางไปรัสเซียตามที่มีข่าวหรือไม่ ทรัมป์ตอบว่า “ไม่ ไม่หรอก ผมไม่มีแผนจะไป”

ทางด้าน ดมิตริ เปสคอฟ (Dmitry Peskov) โฆษกทำเนียบเครมลิน ก็ได้แถลงปฏิเสธเช่นกันว่า ไม่มีแผนการในเรื่องที่ ปูติน จะพบปะกับ ทรัมป์ ที่มอสโก ตามที่เป็นข่าว

ข่าวลือเกี่ยวกับความเป็นไปได้ของการเยือนเช่นนี้แพร่กระจายออกมา หลังจาก เลอ ปัวต์ (Le Point) นิตยสารออกในฝรั่งเศสอ้างแหล่งข่าวหลายรายที่ระบุว่า ทรัมป์จะพบปะหารือกับประธานาธิบดีวลาดิมีร์ ปูติน ของรัสเซีย ที่กรุงมอสโกในวันที่ 9 พฤษภาคม

ทั้งนี้ บรรดาประมุขแห่งรัฐ, นักการทูต, และผู้ทรงเกียรติชาวต่างประเทศอื่นๆ มักเดินทางไปเยือนกรุงมอสโกเพื่อเข้าร่วมการเฉลิมฉลองวันที่ 9 พฤษภาคม ซึ่งพวกเขาจะได้ชมการเดินขบวนสวนสนามของกองทหารขนาดใหญ่ในจัตุรัสแดง (Red Square) และวางพวงมาลาที่สุสานทหารนิรนาม (Tomb of the Unknown Soldier) บริเวณด้านนอกกำแพงทำเนียบเครมลิน สำหรับประธานาธิบดีอเมริกันคนสุดท้าย ซึ่งเข้าร่วมในพิธีการดังกล่าวนี้ คือ จอร์จ ดับเบิลยู บุช ที่เข้าร่วมวาระครบรอบ 60 ปีของการมีชัยชนะเหนือนาซีเยอรมนีในปี 2005

(ดูต้นฉบับภาษาอังกฤษได้ที่ https://www.rt.com/news/613133-trump-denies-attending-wwii-moscow/)

ที่มา : MgrOnline