NDR ขอปั๊มรายได้ปีนี้ 1 พันล้านบาท รุกตลาดอังกฤษ-ญี่ปุ่น

เผยแพร่ : 17 ก.พ. 2568 11:42:19
X
• ขยายตลาดยางรถจักรยานยนต์สู่ อังกฤษ และ ญี่ปุ่น
• ศึกษาความเป็นไปได้ในการขยายตลาดสหรัฐฯ
• มุ่งพัฒนาธุรกิจใหม่ด้านเชื้อเพลิงชีวภาพ



เอ็น.ดี.รับเบอร์ วางเป้ารายได้ในปีนี้ไว้ที่ 1,000 ล้านบาท เล็งขยายตลาดยางรถจักรยานยนต์ไปอังกฤษ ญี่ปุ่น ลุยศึกษาความเป็นไปได้ในสหรัฐฯ พร้อมยังมุ่งเสริมศักยภาพการเติบโตผ่านธุรกิจใหม่ ในธุรกิจผลิตและจำหน่ายเชื้อเพลิงชีวภาพ คาดติดตั้งเครื่องจักรในไตรมาส 2/2568 เริ่มผลิตได้ในช่วงครึ่งปีหลังนี้ สนับสนุนการเติบโตระยะยาว


นายชัยสิทธิ์ สัมฤทธิวณิชชา กรรมการผู้จัดการ บริษัท เอ็น.ดี.รับเบอร์ จำกัด (มหาชน) หรือ NDR ผู้ผลิตและจำหน่ายยางนอกและยางในรถจักรยานยนต์ภายใต้แบรนด์ N.D.Rubber เปิดเผยว่า บริษัทตั้งเป้าหมายรายได้รวมในปี 2568 ไว้ที่ 1,000 ล้านบาท โดยยังคงให้ความสำคัญกับธุรกิจหลัก คือ ผลิตและจำหน่ายยางในและยางนอกรถจักรยานยนต์ ซึ่งคาดว่าจะมีสัดส่วนรายได้ประมาณ 90-95% โดยบริษัทมีแผนขยายตลาดไปประเทศอังกฤษและญี่ปุ่นเพิ่มขึ้น หลังจากได้รับกระแสการตอบรับเป็นอย่างดีจากการเข้าสู่ตลาดในปีที่ผ่านมา อีกทั้งยังเตรียมศึกษาความเป็นไปได้ในการขยายตลาดไปประเทศสหรัฐอเมริกาเพิ่มเติม

ขณะเดียวกัน บริษัทยังมุ่งเสริมศักยภาพการเติบโตผ่านธุรกิจใหม่ โดยให้ความสำคัญกับพลังงานสะอาด ผ่านการลงทุนในธุรกิจผลิตและจำหน่ายเชื้อเพลิงชีวภาพ ซึ่งเป็นอุตสาหกรรมที่ได้รับความสนใจและสอดคล้องกับเทรนด์สิ่งแวดล้อมที่ทุกอุตสาหกรรมให้ความสำคัญ การขยายเข้าสู่ธุรกิจชีวมวลนี้จะช่วยสร้างโอกาสในการเติบโตอย่างยั่งยืน ควบคู่ไปกับการดำเนินธุรกิจหลัก และคาดว่าจะเป็นอีกหนึ่งปัจจัยสำคัญที่ช่วยผลักดันการเติบโตของบริษัทในระยะยาว โดยธุรกิจนี้คาดว่าจะมีสัดส่วนรายได้ ประมาณ 5% ของรายได้รวม

“เราได้ขยายโอกาสการลงทุนไปธุรกิจที่มีศักยภาพในการเติบโต ได้แก่ ธุรกิจการผลิตและจำหน่ายเชื้อเพลิงชีวภาพ ซึ่งขณะนี้อยู่ระหว่างการยื่นขอ BOI คาดว่าเครื่องจักรจะเข้ามาประมาณไตรมาส 2/2568 และจะเริ่มผลิตได้ในช่วงครึ่งปีหลัง ซึ่งเป็นการต่อยอดธุรกิจของ NDR เพื่อสร้างความยั่งยืนและสอดคล้องกับแนวโน้มพลังงานสะอาดของโลก” นายชัยสิทธิ์ กล่าว

กรรมการผู้จัดการ NDR กล่าวเพิ่มว่า แผนการลงทุนในปี 2568 บริษัทตั้งงบลงทุนไว้ที่ประมาณ 150 ล้านบาท โดยแบ่งเป็นงบลงทุนในธุรกิจยางรถจักรยานยนต์ประมาณ 50 ล้านบาท ซึ่งจะใช้สำหรับการเปลี่ยนเครื่องจักรเป็นระบบ Automation เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการผลิต ลดต้นทุน ควบคุมการสูญเสีย และลดการใช้แรงงาน ส่วนอีก 100 ล้านบาทจะใช้สำหรับการลงทุนในเครื่องจักรสำหรับธุรกิจชีวมวล เพื่อรองรับการผลิตเชื้อเพลิงชีวภาพในอนาคต

ที่มา : MgrOnline