บุกตรวจเส้นทางลับชายแดนไทย-พม่า อ.ท่าแซะ ใช้เป็นเส้นทางขนแรงงาน อาวุธ ยาเสพติด เจอโรฮิงญาจ่อเข้า 400 คน
เผยแพร่ : 18 ก.พ. 2568 20:29:14
• พบเส้นทางใช้ค้ามนุษย์ ขนแรงงานเถื่อน อาวุธ และยาเสพติด
• ตรวจพบแคมป์คนโรฮิงญา กว่า 400 คน รอการขนส่งข้ามแดน
• ยึดพื้นที่ป่าสงวนที่ถูกบุกรุกและขาย
• มีผู้คนในพื้นที่บางส่วนอาจรู้เห็นเป็นใจ

ชุมพร - ทหารฝ่ายความมั่นคง ผู้ตรวจการแผ่นดิน บุกตรวจสอบทางลับชายแดนไทย-พม่า ด้าน อ.ท่าแซะ จ.ชุมพร พบใช้เป็นเส้นทางค้ามนุษย์ ขนแรงงานเถื่อน อาวุธ ยาเสพติด เจอแคมป์โรฮิงญากว่า 400 คน จ่อขนข้ามแดน ยึดป่าสงวนขายขาวบ้าน มีผู้นำท้องถิ่นบางคนรู้เห็น

วันนี้ (18 ก.พ.) ภายหลังจาก พล.ต.อนุสรณ์ โออุไร รองแม่ทัพภาคที่ 4 และรองผู้อำนวยการรักษาความมั่นคงภายในภาค 4 หรือ กอ.รมน.ภาค 4 มอบหมายให้ พ.อ.ดุสิต เกษรแก้ว หัวหน้าคณะทำงาน แก้ไขปัญหาการบุกรุกที่ดินของรัฐ ทำลายทรัพยากรธรรมชาติในพื้นที่กองทัพภาคที่ 4 ร่วมบูรณาการกำลังกับ ร.ต.ต.พงศกร มีพันธุ์ ผู้อำนวยการส่วนสอบสวน 4 สำนักสอบสวน 4 สำนักงานผู้ตรวจการแผ่นดิน ปฏิบัติการลับพิสูจน์ทราบการบุกรุกทรัพยากรธรรมชาติตามแนวชายแดนไทย-พม่า ในพื้นที่ ต.รับร่อ อ.ท่าแซะ จ.ชุมพร หลังมีชาวบ้านร้องเรียนไปยังสำนักงานผู้ตรวจการแผ่นดินว่า มีการบุกรุกพื้นที่ป่าสงวนแห่งชาติ ป่ารับร่อ

เจ้าหน้าที่ได้เข้าไปพิสูจน์ทราบในทางลับเพื่อเก็บข้อมูลในพื้นที่ดังกล่าว โดยพบว่ามีถนนที่ถูกไถปรับพื้นที่ เป็นถนนดินแดงไปตามแนวภูเขา กระทั่งไปพบมีเพิงพักมุงหลังคา ในลักษณะแคมป์ และเมื่อเข้าไปภายในพบคนอาศัยอยู่จำนวนมาก และมีกองกำลังติดอาวุธของประเทศเพื่อนบ้าน ดูแลคุ้มกันคนที่อยู่ในแคมป์ดังกล่าว เมื่อสอบถามทราบว่า เป็นชาวโรฮิงญา ที่ถูกนำมาพักไว้ในแคมป์ เพื่อรอลักลอบนำเข้าไปประเทศไทย ผ่านช่องทางธรรมชาติ จากนั้นจะถูกส่งต่อไปประเทศที่สาม และบางส่วนถูกส่งไปอาศัยอยู่ในพื้นที่กรุงเทพมหานคร และปริมณฑล โดยจากการประเมินคาดว่า ทั้งเด็ก ผู้ชาย ผู้หญิง อาศัยอยู่ในแคมป์ไม่ต่ำกว่า 300-400 คน ซึ่งจุดนี้ห่างจากเขตแดนประมาณ 4-5 กิโลเมตร
ขณะที่พื้นที่ใกล้เคียงที่มีการร้องเรียนเรื่องบุกรุกทรัพยากรธรรมชาติ พบว่า มีคนไทย ร่วมกับชนกลุ่มน้อยชาวกะเหรี่ยง ประเทศพม่า นำเครื่องจักรหนักไถป่าเปิดถนนจากเขตประเทศไทย ลัดเลาะภูเขาและสวนปาล์มน้ำมัน เข้าไปฝั่งประเทศพม่า และบางจุดมีการปรับพื้นที่ ก่อนที่จะมีการขายให้คนไทยที่มีความสนใจ ในราคา 100 ไร่ จำนวน 40,000 บาท

ทั้งนี้แหล่งข่าวคณะทำงานชุดนี้ เปิดเผยว่า จากการเข้าตรวจสอบพื้นที่ที่ได้รับการร้องเรียน พบว่า บางพื้นที่ในอำเภอท่าแซะ จังหวัดชุมพร มีการกระทำผิดกฎหมายหลายอย่าง เช่น การลักลอบขนแรงงานต่างด้าวหลบหนีเข้าเมือง การค้ายาเสพติด การค้าอาวุธสงคราม และจุดผ่านแดนมีการนำเครื่องจักรหนักเข้าไปไถปรับพื้นที่ ซึ่งบางส่วนอยู่ในเขตป่าสงวนแห่งชาติ ป่ารับร่อ-สลุย และรุกล้ำเข้าไปในเขตประเทศพม่า เพื่อขายที่ดินโดยไม่มีเอกสารสิทธิใดๆ ซึ่งผู้ที่ดำเนินการเป็น กลุ่มนายหน้าที่นำที่ดินมาขายให้คนไทยด้วยกัน โดยเฉพาะชาวจังหวัดชุมพร และ สุราษฎร์ธานี
ส่วนช่องทางที่มีการข้ามแดน เป็นจุดที่ทางการไทยไม่ได้เปิดเป็นจุดผ่อนปรนหรือจุดผ่านแดนที่ถูกกฎหมาย แต่เป็นช่องทางธรรมชาติ แต่มีการนำเครื่องจักรหนักเข้าไปไถปรับดัดแปลงภูมิประเทศจนเปลี่ยนแปลง รถหลายชนิดใช้เส้นทางได้ เพื่อให้เข้าไปถึงที่ดินที่มีการจัดสรรขาย เนื้อที่ 400 ไร่ ราคา 10,000 บาท

ทั้งนี้ คณะทำงานได้ส่งสายข่าวเข้าไปฝังตัวในพื้นที่ ปรากฏว่า ได้ข้อมูลว่า มีผู้นำท้องถิ่นบางคนมีส่วนรู้เห็นเอื้อประโยชน์ให้มีการไถป่า ทำถนน รวมทั้งร่วมกับขบวนการค้ามนุษย์ ในการนำชาวโรฮิงยาจากแคมป์ที่พัก

ซึ่งอยู่ในพื้นที่ที่ยังไม่ปักปันเขตแดน เข้ามาฝั่งประเทศไทย ก่อนนำพาผ่านพื้นที่ตำบลรับร่อ อำเภอท่าแซะ โดยจะคิดค่าผ่านทางหัวละ 500 บาท และยังพบการกระทำความผิดอีกหลายอย่าง โดยเฉพาะแคมป์ที่พักชาวโรฮิงญา ที่อยู่ห่างจากหมู่บ้านในฝั่งไทย ประมาณ 4-5 กิโลเมตร ก็มีอยู่จริง และพบชาวโรฮิงญา 300-400 คน แต่ขณะนี้เหลืออยู่ประมาณ 200-300 คน ส่วนใหญ่ต้องการเดินทางไปประเทศมาเลเซีย และบางส่วนไปกรุงเทพมหานคร หรือปริมณฑล
ทั้งนี้ กรณีดังกล่าวมีการขนคนข้ามชายแดน และลักลอบลำเลียงนำเข้ามาในประเทศไทย ผ่านช่องทางธรรมชาติ ผิดกฎหมาย มีการได้รับผลประโยชน์ ถือว่าเข้าข่ายค้ามนุษย์ ทำกันเป็นขบวนการ ซึ่งเชื่อได้ว่ามีเจ้าหน้าที่ของรัฐระดับท้องถิ่นเข้าไปเกี่ยวข้องด้วยกับขบวนการนี้ เพราะพบหลักฐานที่สายข่าวแจ้งว่า ชาวโรฮิงญาแต่ละคนต้องจ่ายค่าเดินทางเบื้องต้นคนละ 40,000 บาท เมื่อจ่ายครบแล้ว จะถูกนำตัวออกจากแคมป์ที่พัก ผ่านประเทศไทยไปส่งตามจุดหมาย

ขณะที่เมื่อวันที่ 13 กุมภาพันธ์ เจ้าหน้าที่คณะทำงานชุดนี้ได้เข้าไปพิสูจน์ทราบอีกครั้ง ไปพบกับกองกำลังติดอาวุธจำนวนหนึ่ง ซึ่งบางคนเป็นชาวกะเหรี่ยง และสายข่าวยืนยันว่า หนึ่งในนั้นชื่อ นายโซ หน่าย เป็นคนคอยดูแลบ้านที่พักของกองกำลัง ซึ่งเป็นที่รวบรวมเสบียง ก่อนส่งไปยังแคมป์ที่พักชาวโรฮิงญา และเมื่อคณะทำงานต้องการเข้าไปพิสูจน์ทราบแคมป์ที่พักชาวโรฮิงญาอีกครั้ง ก็ถูกกองกำลังชุดนี้สกัดไว้
ซึ่งชายคนหนึ่งได้ห้ามเจ้าหน้าที่บันทึกภาพ พร้อมกับอ้างว่า อดีตเคยเป็นทหารไทย แต่ปัจจุบันได้ไปทำงานให้ทหารกองกำลังกะเหรี่ยง อีกทั้งเรื่องแคมป์ที่พักชาวโรฮิงญา ก็ได้รายงานให้หน่วยเฉพาะกิจ กรมทหารราบที่ 25 กับกองพลทหารราบที่ 5 รับทราบแล้ว โดยเจ้าหน้าที่ประมิณแล้ว ว่า กองกำลังดังกล่าวติดอาวุธ อีกทั้งมีความชำนาญพื้นที่ที่มีภูมิประเทศภูเขาสลับซับซ้อน คณะทำงานจึงต้องล่าถอย
ซึ่ง พล.ต.อนุสรณ์ โออุไร รองแม่ทัพภาคที่ 4 ก็ได้ตรวจสอบเรื่องนี้ไปยังหน่วยเฉพาะกิจ กรมทหารราบที่ 25 กับกองพลทหารราบที่ 5 ปรากฏว่า เป็นการการแอบอ้างของกองกำลังกลุ่มนี้ ไม่เป็นความจริง และไม่ใช่ทหารไทย ไม่ใช่สายข่าว หรือหน่วยข่าวที่ทำงานให้หน่วยความมั่นคงของไทย




ที่มา : MgrOnline