ตัวแทนกรมสนธิสัญญาแจง กมธ.พลังงาน ยันใช้ MOU44 เป็นหลักเจรจา ค้านเลิกสัมปทานเอกชน หวั่นต้องเอาภาษีมาชดเชย

เผยแพร่ : 28 พ.ย. 2567 13:46:56
X
• กรมสนธิสัญญา ยืนยันใช้บันทึกความเข้าใจปี 2544 (MOU44) เป็นกรอบหลักในการเจรจากับกัมพูชา
• คัดค้านการยกเลิกสัมปทานเอกชน เนื่องจากอาจต้องใช้เงินภาษีชดเชย
• สนับสนุนให้มีการจัดตั้งคณะกรรมการร่วมไทย-กัมพูชา (JTC) เพื่อเจรจาต่อ
• แนะให้เพิ่มการมีส่วนร่วมจากหน่วยงานอื่นๆ ในการเจรจา

กมธ.พลังงาน เชิญหน่วยงานที่เกี่ยวข้องให้ข้อมูลพื้นที่ทับซ้อนไทย-กัมพูชา และแบ่งผลประโยชน์ ตัวแทนกรมสนธิสัญญา ยันใช้กรอบของ MOU44 เป็นหลักในการเจรจา ค้านเลิกสัมปทานเอกชน หวั่นต้องเอาภาษีมาชดเชย หนุนเดินหน้าตั้ง คกก.JTC คุยต่อ แนะเพิ่มผู้เชี่ยวชาญด้านพลังงาน ร่วมด้วย


วันนี้ (28 พ.ย.) ได้มีการประชุมคณะกรรมาธิการ (กมธ.) การพลังงาน สภาผู้แทนราษฎร กรณีการแบ่งปันผลประโยชน์ด้านพลังงานในพื้นที่ทับซ้อนไทย-กัมพูชา โดยเชิญหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง อาทิ กรมสนธิสัญญา กระทรวงต่างประเทศ, กรมเชื้อเพลิงธรรมชาติ กระทรวงพลังงาน, กองทัพเรือ และสำนักงานปลัดกระทรวงกลาโหม มาให้ข้อมูลล่าสุดในพื้นที่พัฒนาร่วม

นายศุภโชติ ไชยสัจ รองประธาน กมธ. เปิดเผยภายหลังประชุม ว่า ตัวแทนกรมสนธิสัญญา ยืนยันว่า ใช้กรอบของ MOU 44 เป็นกรอบหลักในการเจรจา โดย กมธ.ได้นำคำถามจากภาคประชาสังคมมาสอบถาม ได้ข้อมูล 2 ส่วน ว่า ในพื้นที่ส่วนบนต่างฝ่ายต่างอ้างสิทธิ์ทับซ้อน ก็ต้องมีการเจรจากันไป พร้อมกับแบ่งทรัพยากรธรรมชาติที่อยู่ส่วนล่าง โดยตามกรอบ MOU ต่างฝ่ายต่างรับรู้พื้นที่ของแต่ละฝ่าย และไทยค่อนข้างมั่นใจข้อมูลที่จะไปเจรจากับกัมพูชา โดยยึดหลักอนุสัญญาสหประชาชาติว่าด้วยกฎหมายทะเล

ส่วนเรื่องสัมปทานที่ให้สิทธิกับเอกชนไปแล้ว ก็ต้องพูดคุยกันต่อว่าจะเดินหน้าอย่างไร แต่สิ่งที่ กมธ. ไม่อยากให้เกิดขึ้นคือ การยกเลิกสัมปทาน แล้วเราต้องมาจ่ายค่าชดเชยให้ โดยใช้ภาษีของประชาชน

นายศุภโชติ ยังกล่าวถึงระยะเวลาในการนำทรัพยากรขึ้นมาใช้ประโยชน์ โดยทางกรมเชื้อเพลิงธรรมชาติ ชี้แจงว่า ถ้าดูจากกรอบที่เราเคยทำกับมาเลเซียจะต้องใช้เวลาถึง 25 ปี จึงมีคำถามว่า ทรัพยากรเหล่านี้ยังจำเป็นหรือไม่ เพราะขณะนี้เรากำลังเดินไปสู่พลังงานสะอาด จึงได้พูดคุยกันว่าถ้าจะทำให้เร็วกว่านี้ทำอย่างไรได้บ้าง

เมื่อถามย้ำว่า กมธ. เห็นด้วยกับการเดินหน้าตั้งคณะกรรมการร่วมทางเทคนิค หรือ JTC ไทย-กัมพูชา หรือไม่ นายศุภโชติ กล่าวว่า แน่นอนต้องมีอยู่แล้ว เพราะเป็นเหมือนบันไดขั้นแรก ที่ทำให้การเจรจาเกิดขึ้นได้ และทางเราก็อยากเห็นว่าองค์ประกอบเป็นอย่างไร โดยการเข้าไปเจรจาเรื่องใดเรื่องหนึ่งต้องมีผู้แทน ซึ่งในส่วนของไทยมีการพูดคุยกันว่าไม่ใช่แค่เรื่องเขตแดนแต่มีเรื่องทรัพยากรธรรมชาติและพลังงาน ดังนั้น องค์ประกอบของ JTC จึงเป็นประเด็นสำคัญว่าประกอบด้วยใครบ้าง ที่จะต้องคุยทั้งเรื่องเขตแดน อาณาเจตประเทศ รวมทั้งทรัพยากร ซึ่งที่ผ่านมาองค์ประกอบของ JTC มีผู้เชี่ยวชาญด้านพลังงานค่อนข้างน้อย จึงขอฝากข้อเสนอแนะว่าต้องมีผู้เชี่ยวชาญด้านพลังงานเพิ่มไปด้วย พร้อมย้ำว่า คณะกรรมการ JTC จะต้องครอบคลุมโดยยึดผลประโยชน์ของประเทศเป็นที่ตั้ง

ส่วนกังวลหรือไม่ที่อาจจะมีการตั้งคนจากฝ่ายการเมืองเข้าไปด้วย นายศุภโชติ กล่าวว่า คงปฏิเสธไม่ได้ว่ามีความพยายามจากฝ่ายการเมืองเข้ามาแทรกแซงในคณะกรรมการ JTC แต่อยากให้ยึดผลประโยชน์ของประเทศเป็นที่ตั้ง และให้การทำงานในเรื่องนี้เป็นกลางจริงๆ แต่เรื่องนี้จะชัดเจนที่สุดก็ต่อเมื่อได้เห็นรายชื่อคณะกรรมการ JTC ออกมาก่อน แล้วค่อยมาตั้งคำถาม

เมื่อถามว่า รัฐมนตรีพลังงาน ควรอยู่ในคณะกรรมการ JTC ด้วยหรือไม่ นายศุภโชติ กล่าวว่า ถ้าเทียบกับในอดีต ก็ควรจะต้องเป็นบุคคลที่ดูเรื่องเขตแดน เรื่องทรัพยากร ต้องร่วมอยู่ในโต๊ะเจรจาด้วย

ส่วนข้อเสนอให้ยกเลิก MOU44 นั้น ใน กมธ. พูดถึงเรื่องนี้ค่อนข้างน้อย เพราะการมี MOU44 ถือเป็นกรอบที่ชัดในการเจรจา ส่วนจะต้องมีการปรับปรุงอะไรหรือไม่ เราต้องศึกษากันว่าบริบทนี้ผ่านมา 20 ปีแล้ว มีอะไรเปลี่ยนแปลงไปค่อนข้างเยอะ จึงเห็นว่าต้องมีการทบทวน แต่ถึงขั้นต้องยกเลิกหรือไม่ยังไม่สามารถสรุปได้

เมื่อถามว่า ถ้าคุยเรื่องเส้นเขตแดนแล้วไปไม่ได้ จะคุยเรื่องผลประโยชน์ต่อหรือไม่ นายศุภโชติ กล่าวว่า รอให้ถึงจุดนั้นก่อน แล้วค่อยว่ากัน ตอนนี้เราควรย้ำ แลัยืนยันว่าควรเข้าสู่โต๊ะเจรจา โดยนำ 2 เรื่อง คือ ผลประโยชน์ และเขตแดน มาคุยพร้อมกัน

เมื่อถามย้ำว่า ได้เห็นแผนที่แนบท้าย MOU44 หรือไม่ นายศุภโชค กล่าวว่า กรมสนธิสัญญาได้มาชี้แจงว่า แผนที่แนบท้ายเป็นแค่การรับรู้เส้นที่ทั้งสองฝ่ายต่างอ้างอิง ซึ่งเป็นคนละเส้นกัน และไม่ได้มีบทบังคับใช้ตามกฎหมาย

ที่มา : MgrOnline