ปตท.ลั่นบูรณาการNet Zero รัฐตั้งเป้าพลังงานสะอาด50%
เผยแพร่ : 27 พ.ย. 2567 22:27:09
• นายพิชัย เสนอ 3 เงื่อนไขดึงดูดต่างชาติลงทุนไทยเพื่อเศรษฐกิจสีเขียว: ที่ดิน, พลังงานไฟฟ้าสีเขียว, ทักษะแรงงาน
• ปตท. เดินหน้าสู่เป้าหมาย Net Zero ภายในปี 2050
นายกฯ ตั้งเป้าเพิ่มสัดส่วนพลังงานสะอาดเป็น50% ด้านพิชัย เปิด 3 เงื่อนไขดึงต่างชาติลงทุนไทย ผลักดันประเทศสู่เศรษฐกิจสีเขียว “ที่ดิน-พลังงานไฟฟ้าสีเขียว-ทักษะแรงงาน“ ด้านซีอีโอ ปตท. เดินหน้ามุ่งสู่เป้าหมาย NET ZERO ปี2050 ลุยโครงการCCS-ไฮโดรเจน พร้อมเร่งบูรณาการในกลุ่มปตท. สู่ธุรกิจคาร์บอนต่ำและความยั่งยืน
น.ส. แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี เปิดเผยภายในงานสัมมนา2025กับความท้าทายของเศรษฐกิจโลกยุคใหม่ว่า ปัจจุบันการรวมตัวของผู้เชี่ยวชาญนักธุรกิจ และผู้นําจากทุกภาคส่วนที่มุ่งมั่นในเป้าหมายเดียวกันคือการสร้างอนาคตที่ยั่งยืน ประเทศไทยตั้งเป้าหมายมุ่งสู่ net zero ในปี 2025 ไม่ใช่เพียงเรื่องของเทคโนโลยีหรือนโยบายแต่เป็นความท้าทายที่ประเทศไทยและนานาประเทศทั่วโลกต้องพร้อมปรับตัว ให้ทันต่อการเปลี่ยนแปลงและความท้าทายทางเศรษฐกิจโลกยุคใหม่ ทั้งการลดก๊าซเรือนกระจก การจัดการทรัพยากรอย่างยั่งยืนและการสร้างความมั่นคงทางเศรษฐกิจ ที่ไม่กระทบต่อสิ่งแวดล้อม เรามีแผนที่จะครอบคลุมทุกภาคส่วน ตั้งแต่การใช้พลังงานหมุนเวียนในระดับท้องถิ่น ไปจนถึงการสร้างแรงจูงใจให้ภาคธุรกิจร่วมลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกอย่างจริงจัง
ไม่ว่าจะเป็นการสนับสนุนให้คนที่ใช้รถที่มีมลพิษน้อยลงเช่น ไฮบริดและอีวีมากยิ่งขึ้นการสนับสนุนให้ใช้วิธีการปลูกพืชใหม่ใหม่ที่ลดการปล่อยคาร์บอนลงการให้ประเทศไทยเป็นศูนย์กลางการซื้อขายคาร์บอนเครดิตเพื่อให้บริษัทไทยสามารถเข้าถึง carbon credit ได้ให้สามารถแข่งขันในตลาดต่างประเทศได้ดีขึ้นโดยเฉพาะในตลาดยุโรปการออกกฎหมายเรื่องการคิดภาษีคาร์บอนการเพิ่มสัดส่วนพลังงานสีเขียวเป็น 50%
การปรับปรุงมาตรฐานคาร์บอนเครดิตเพื่อให้สอดคล้องกับมาตรฐานโลกมากยิ่งขึ้นนโยบายดังกล่าวไม่เพียงแต่ตอบสนอง ต่อความท้าทายภายในประเทศแต่ยังเพิ่มศักยภาพการแข่งขันในตลาดโลก ที่มีความตื่นตัวด้านสิ่งแวดล้อม “เรามีความพร้อมที่จะเป็นส่วนหนึ่ง ในการผลักดันให้ภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ก้าวไปสู่ความยั่งยืนร่วมกัน”น.ส. แพทองธารกล่าว
ความสําเร็จของเป้าหมายนี้ จําเป็นต้องอาศัยการมีส่วนร่วม จากทุกภาคส่วน ทั้งภาครัฐภาคธุรกิจและประชาชนดิฉันเชื่อมั่นว่าหากทุกคนมีส่วนร่วมในเป้าหมาย netzero ประเทศไทยจะสามารถเป็นตัวอย่างที่สําคัญของประเทศที่สร้างความเจริญก้าวหน้า โดยไม่ละเลยความรับผิดชอบต่อโลก และอนาคตของลูกหลาน
*ปตท.สั่งบูรณาการลดคาร์บอน*
ดร.คงกระพัน อินทรแจ้ง ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) กล่าวภายในงานสัมมนา iBusiness Forum “2025 Net Zero กับความท้าทายของเศรษฐกิจโลกยุคใหม่ Net Zero and the Challenges of The New Global Economy” ว่า วันนี้เรามุ่งสู่เป้าหมาย Net Zero ปีค.ศ.2050 โดยทิศทางของโลกทั้ง Climate Change การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ การใช้พลังงานสะอาดขึ้น Digital Transformation ของอุตสาหกรรมต่างๆล้วนมีบทบาทสำคัญต่อทิศทางเศรษฐกิจและการใช้พลังงานเป็นอย่างมาก
เนื่องจากพลังงานเป็นพื้นฐานการพัฒนาเศรษฐกิจโลก และเป็นปัจจัยที่ทำให้โลกเกิดความวุ่นวายไม่ว่าจะเป็นเรื่อง Geopolitic ซึ่งต้องการความต้องการความมั่นคงด้านพลังงาน 75% คู่ไปกับการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก
“วันนี้คงไม่ต้องมีคำถามว่าทำไมต้องลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก แต่เป็นสิ่งที่เราต้องทำ เพื่อช่วยโลก รวมถึงช่วยตัวเองเพื่อให้มนุษยชาติอยู่ได้”
การใช้พลังงานที่เพิ่มมากขึ้น ส่งผลให้เกิดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสูงขึ้นถึง 46% จากปี 2000 ซึ่งประเทศที่มีการปล่อยก๊าซเรือนกระจกมากคือ จีน สหรัฐอเมริกา รัสเซีย ขณะที่ไทยมีการปล่อยก๊าซเรือนกระจกเพียง 1%ของโลก แต่เป็นประเทศที่ได้รับผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศมากสุดติดอันดับ 1ใน10 ของโลก
ดังนั้น การพัฒนาเศรษฐกิจ การใช้พลังงานต้องทำควบคู่กับการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก นับวันการใช้ถ่านหิน และน้ำมันจะทยอยลดลง แต่ยังคงมีการใช้ก๊าซธรรมชาติในอัตราที่สูงในช่วงการเปลี่ยนผ่านพลังงานเพราะเป็นเชื้อเพลิงฟอสซิลที่สะอาดสุด ทำให้ก๊าซฯยังมีความสำคัญในอีก20-30ปีข้างหน้าแต่จะให้ดีต้องลดคาร์บอนควบคู่กันไปด้วย เพราะพลังงานหมุนเวียน (Renewable ) ยังมีข้อจำกัด ส่วนโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ขนาดเล็ก(SMR) และไฮโดรเจนมีต้นทุนที่แพง ยังต้องใช้เวลาในการพัฒนาอีก
ปัจจุบันอาเซียนมีความต้องการใช้ก๊าซธรรมชาติเนื่องจากแต่ละประเทศมีแหล่งผลิตก๊าซธรรมชาติเองไม่ว่าจะเป็น ไทย มาเลเซีย อินโดนีเซีย เมียนมา ซึ่งประเทศไทยมีการผลิตก๊าซธรรมชาติใช้เองราว 50% ส่วนที่เหลือนำเข้าก๊าซฯจากเมียนมาราว 10% และ LNG นำเข้า ส่วนน้ำมัน ไทยนำเข้ามากถึง 90% ของความค้องการใช้ ถ้าเราต้องการเปลี่ยนผ่านพลังงานไปสู่พลังงานหมุนเวียน ก็ต้องมีการผลิตจากแหล่งก๊าซฯควบคู่ไปกับการพัฒนาพลังงานหมุนเวียน
เนื่องจากประเทศไทยมีการใช้ก๊าซธรรมชาติเป็นเชื้อเพลิงหลักในการผลิตไฟฟ้า จำเป็นต้องลดปล่อยคาร์บอนควบคู่กันไปเพื่อเป็นพลังงานสะอาดขึ้น โดยเฉพาะโครงการดักจับและกักเก็บก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ หรือ Carbon Capture and Storage (CCS) ซึ่งเป็นโครงการที่ปตท.อยู่ระหว่างการศึกษา และจะเป็นโครงการสำคัญที่จะช่วยให้ปตท.และประเทศไทยบรรลุเป้าหมาย Net Zero ซึ่งบริษัทน้ำมันชั้นนำของโลกมีเป้าหมายในการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกเป็นศูนย์(Net Zero)ในปี ค.ศ. 2050 เช่นเดียวกับ ปตท.
สำหรับแนวทางการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกเป็นศูนย์ ปตท. จะดำเนินควบคู่กันในการพัฒนาโครงการCCS ซึ่งต่างประเทศได้เริ่มดำเนินการแล้ว เช่นสหรัฐอเมริกามีมากกว่า 100 แห่ง และยุโรปก็มีมากเช่นกัน เนื่องจากได้รับการสนับสนุนจากภาครัฐ โดยปตท.จะลงทุนโครงสร้างพื้นฐาน อาทิ ถังเก็บคาร์บอนและท่อฯ รวมทั้งประสานกับภาครัฐเพื่อออกกฎหมายรองรับ ขณะที่ปตท.สผ.จะเป็นแกนนำในโครงการCCS
ส่วนไฮโดรเจนประเทศไทยก็มีศักยภาพ โดยมีการใช้ไฮโดรเจนสีเทา (Gray Hydrogen) ในบางอุตสาหกรรม นอกจากนี้แผนPDP ฉบับใหม่ ระบุให้มีการใช้ไฮโดรเจนสัดส่วน 5%ในโรงไฟฟ้าก๊าซฯ แม้ปัจจุบันจะไฮโดรเจนมีราคาแพง แต่ในอนาคตจะค่อย ๆ ถูกลง ซึ่งเป็นเรื่องที่เป็นไปได้และควรทำ
“การทำไฮโดรเจน-CCS ควบคู่กันไปแต่คาดว่าไฮโดรเจนอาจจะเห็นความชัดเจนก่อน เนื่องจากโครงการCCSต้องใช้เวลา มีกฎหมายรองรับ“ ดร.คงกระพันกล่าว
*บูรณาการความยั่งยืนสร้างสมดุลESG*
ดร.คงกระพัน กล่าวว่า ภายใต้วิสัยทัศน์”ปตท.แข็งแรงร่วมกับสังคมไทยและเติบโตในระดับโลกอย่างยั่งยืน” ในฐานะที่ปตท.เป็นบริษัทพลังงานแห่งชาติ เมื่อปตท.แข็งแรง ประเทศชาติก็แข็งแรงด้วย ดังนั้นปตท.จึงเน้นการโตในต่างประเทศสะท้อนให้เห็นว่า สัดส่วนรายได้ของลปตท.มากกว่า 50%มาจากต่างประเทศ
การบูรณาการSustainability เข้าสู่การทำธุรกิจและสร้างสมดุลESGให้เหมาะสมกับการทำธุรกิจ ผ่าน C3 approach คือ 1.Climate resilience Business 2.Carbon conscious asset และ 3 Coalition,co-creation and collection efforts for all
**ปตท.หันผลิตพลังงานลดคาร์บอนควบปลูกป่ามุ่งnet zero *
ซึ่งการทำธุรกิจคาร์บอนต่ำของกลุ่ม ปตท. สามารถดำเนินการได้ เช่น การผลิตไฟฟ้าของ GPSC เชื้อเพลิงที่นำมาใช้จะเริ่มเป็นคาร์บอนต่ำ มีสัดส่วนพลังงานหมุนเวียน และไฮโดรเจนเข้ามามากขึ้น ส่วนธุรกิจในเครือปตท.ที่ปล่อยคาร์บอนก็ให้มีการจัดเก็บ โดยปตท.จะสร้างถังเก็บคาร์บอนบนฝั่งก่อนต่อท่อนำไปฝังเก็บในอ่าวไทยต่อไป 2ข้อรวมกัน กลุ่มปตท.ก็ลดคาร์บอนได้50% ส่วนที่เหลือเป็นการทำโครงการCCS การปลูกป่า นับเป็นการ Integrate ในกลุ่มปตท. ทั้งการลดคาร์บอน ความยั่งยืน และการทำธุรกิจให้ไปด้วยกัน โดยมองว่าการลงทุนเพื่อให้บรรลุเป้าหมาย Net Zreo ไม่ใช่ต้นทุน(Cost)แต่เป็นโอกาสทางธุรกิจ
โครงการCCS ทางปตท.สผ. ที่ดำเนินการธุรกิจE&Pมากว่า30ปีเป็แกนนำ ซึ่งไทยสามารถกักเก็บคาร์บอน(CCS)ได้ 2 วิธี คือ 1. กักเก็บคาร์บอนในหลุมก๊าซที่ไม่ได้ใช้แล้ว เบื้องต้นสามารถกักเก็บคาร์บอนได้ราว 1 ล้านตันคาร์บอน 2. เป็นน้ำเกลือเข้มข้นโดยนำคาร์บอนไปละลายได้ทำได้บริเวณชายฝั่งทะเล
ปัจจุบัน ปตท.สผ. กำลังดำเนินการโครงการsandbox ซึ่งเป็นการศึกษาและพัฒนาโครงการ CCS ในแหล่งอาทิตย์ในอ่าวไทย ขณะนี้เริ่มทดลองจากการผลิตก๊าซฯแล้วแยกคาร์บอนอัดกลับในหลุม โครงการCCS จะเป็นการเริ่มต้นภายในกลุ่ม ปตท. ก่อนหากประสบความสำเร็จก็จะดึงพันธมิตรและบริษัทเอกชนอื่นๆร่วมด้วยอาทิ กลุ่ม WHA กลุ่มปูนซินเมนต์
คลังตั้งเป้าลดคาร์บอน30% จ่อใช้กม.บังคับ*
นายพิชัย ชุณหวชิร รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง กล่าวปาฐกถาพิเศษงานสัมมนา “2025 Net Zero กับความท้าทายของเศรษฐกิจโลกยุคใหม่ Net Zero and the Challenges of The New Global Economy” ว่า ประเทศไทยเริ่มจากกระทรวงทรัพย์พยากาณ์และสิ่งแวดล้อม ได้เข้ามาหารือกับท่านอธิบดี คุยถึงผลกระทบโลกร้อน สิ่งเหล่านี้จะต้องทำอย่างเป็นขั้นเป็นตอน ทำให้ถูกกฏหมาย ทุกภาคส่วนของร่วมมือกันน และตระหนักถึงคำว่า (ZERO) เกี่ยวข้องอะไรกับเรา บ้างที่ได้ทำสนธิสัญญากันแล้ว ต้องทำให้ชัดว่า ต้องปล่อยเท่าไร ลดลงได้เท่าไร ในประเทศไทยและประเทศในเอเชีย ที่ตกลงกันไว้แล้ว เมื่อ 4-5 ปีที่แล้ว จะทำอย่างไร ระดับการปล่อยคาร์บอนให้เข้าใกล้เป้าหมายมากที่สุด หรือถ้าทำไม่ได้จะทำอย่างไร
เช่น 100 ถ้าทำได้หรือ ไม่ได้จะต้องชดเชยอย่างไร คนที่ทำไม่ได้ต้องเป็นคนจ่ายให้คนทำไม่ได้หรือไม่ มีการดูแลแก้ไขกันไป หากดำเนินการไม่เพียงพอก็อาจจะต้องไปสร้างเพิ่มเติม เช่น ปลูกต้าไม้ ปลูกข้าวแบบใหม่ ที่ลดคาร์บอนเพิ่มขึ้น
สำหรับภาครัฐก็จำเป็นต้องเร่งดำเนินการเรื่องนี้ และตั้งเป้าหมายที่ชัดเจน โดยเฉพาะเรื่องคาร์บอนเครดิต ซึ่งประเทศไทยได้ให้พันธสัญญาว่าจะลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกลงให้ได้อย่างน้อย 30% เมื่อประเมินดูในเบื้องต้น ประเทศไทยอาจยังไม่ได้ตระหนักถึงข้อมูลตรงนี้ จึงต้องเร่งดำเนินให้เป็นไปตามกฎหมาย หากลดไม่ได้อาจจะต้องกำหนดให้ผิดกฎหมาย
*พิชัย เปิด 3 เงื่อนไขดึงต่างชาติลงทุนไทย*
นอกจากนี้พื้นที่ของเรายังมีเหลืออีกมาก คนอยู่ 60 ล้านคน พื้นที่ 360 ล้านไร เหลือเพียงพอ ที่จะให้ต่างชาติเข้ามาลงทุน วันนี้เราได้เชิญให้ต่างชาติเข้ามาบ้างแล้ว แต่เราจะเชิญให้เป็นอุตสาหกรรมที่เป็นฟรี โนคาร์บอน ปัจจุบันเริ่มเข้ามาแล้ว ทั้งอเมริกาและยุโรป จีน พิเศษหากถูกกีดกันทางการค้า การลงทุนก็จะไหลเข้ามาในประเทศไทย ตอนนี้บีโอไอ ได้มีคนขอเข้ามาขอมากขึ้น โดยเฉพาะการลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศ (FDI) ซึ่งจะเห็นได้ว่าขณะนี้มีคนเข้ามาขอรับการส่งเสริมการลงทุน (บีโอไอ) ในไทย 9 เดือนของปี 2567 ได้ทำลายสถิติรอบ 10 ปี สูงสุดอยู่ที่ 7 แสนกว่าล้านบาท หรือ 2 หมื่นกว่าล้านเหรียญสหรัฐ
ทั้งนี้ สิ่งที่นักลงทุนต่างชาติยังมีความต้องการในการเข้ามาลงทุนในประเทศไทย 3 เรื่อง ได้แก่ 1.อยากได้ที่ดินที่มีการพัฒนาแล้ว และราคาไม่แพง 2.อยากได้พลังงานไฟฟ้าสีเขียว และ 3.อยากได้แรงงานที่มีทักษะเพื่อรองรับอุตสาหกรรมสมัยใหม่ ซึ่งตรงนี้เป็นประเด็นสำคัญ โดยยืนยันว่ารัฐบาลยินดีที่จะให้ความร่วมมืออย่างเต็มที่ในการสร้างองค์ประกอบเหล่านี้ให้ครบถ้วน
“เราจะทำองค์ประกอบหลังจากนี้ให้มันครบถ้วน เหลือเพียงความรวดเร็ว นโยบายพลังงานที่ชัดเจน ซึ่งเราจะให้ความร่วมมือและเร่งทําอย่างเต็มที่” นายพิชัยกล่าว
นายธวัชชัย ชีวานนท์ ประธานผู้บริหาร Product & Business Solutions ธนาคารกรุงไทย (KTB) กล่าว ว่า จากข้อมูลที่จำนวนปล่อยคาร์บอนของเราในสัดส่วนเพียง 1% ของจำนวนคาร์บอนทั้งหมด แต่เราติด TOP 10 ที่จะได้รับผลกระทบจาก Climate change ที่รุนแรง ดังจะเห็นได้จากภัยธรรมชาติต่างๆ ที่เกิดมีความรุนแรงขึ้น ดังนั้น จึงถือเป็นภารกิจทุกคนจะต้องช่วยกัน ไม่ว่าจะเป็นในเรื่องของความเป็นอยู่ในที่ทำงาน เศรษฐกิจชุมชน ไปจนถึงเศรษฐกิจระดับประเทศ
ทั้งนี้ ในเรื่องของสภาพแวดล้อมนั้น จากรายงานของธนาคารโลก (เวิลด์แบงก์) ได้มีการเสนอแนะแนวทางใรการดำเนินให้ประเทศไทยในหลายส่วน เช่น ในเรื่องของการบริการจัดการน้ำ รวมถึงการนำเทคโนโลยีต่างๆ เข้ามาใช้เพื่อให้สามารถใช้ข้อมูลด้านอากาศ น้ำได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น เป็นต้น เนื่องจากประเทศไทยให้ความสำคัญกับเกษตรกรรม และการประมง ทั้งนี้ หากประเทศไทยยังคงไม่ปรับตัวในเรื่องดังกล่าว กระทั่งปี 2050 อาจทำให้เกิดผลกระทบต่อจีดีพีถึง -4% และคาดว่าเกิดผลกระทบต่อภาคการเกษตรและประมงได้ถึง 3.16 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐ
อย่างไรก็ตาม การเปลี่ยนผ่านไปสู่เศรษฐกิจยั่งยืนต้องใช้วงเงินลงทุนในระดับที่สูง โดยจากการคาดการณ์เม็ดเงินลงทุนที่จะใช้ในการเปลี่ยนผ่านของไทยนั้นอยู่ที่ 1.84 แสนล้านเหรียญสหรัฐ ขณะที่เราเพิ่งมีเม็ดเงินลงทุนไปเพียง 400 ล้านเหรียญสหรัฐ ดังนั้น เรื่องของเม็ดเงินลงทุนเป็นอีกปัจจัยที่ต้องพิจารณา
นอกจากนี้ เรามองปัจจัยที่ความท้าทายต่อ Green Transition ในอีกมิติ คือ การจัดการในเรื่องเศรษฐกิจนอกระบบซึ่งประเทศไทยมีเศรษฐกิจนอกระบบในสัดส่วนที่สูงถึง 48% ของจีดีพี และเป็นปัจจัยที่สร้างความท้าทายต่อ Green Transition เนื่องจากข้อมูลที่ไม่ได้ถูกบันทึกทำให้กำกับดูแลเป็นเรื่องที่ยาก รวมไปถึงการเข้าไปช่วยเหลือ ดูแลในเรื่องต่างๆทำได้ยากเมื่อเกิดปัญหา รวมถึงการเข้าถึงแหล่งเงินทุนด้วย
"ในท้ายที่สุดการเปลี่ยนผ่านไปสู่เศรษฐกิจยั่งยืน เป็นเรื่องที่ภาคส่วนใดภาคส่วนหนึ่งทำแต่เพียงลำพังไม่ได้ เป็นสิ่งที่ 3 แกนหลักได้แก่ ภาครัฐ ภาคเอกชน และประชาชนต้องร่วมมือกัน โดยภาครัฐจะต้องดูแลในเรื่องของปัจจัยพื้นฐานที่เอื้อ รวมถึงแรงจูงใจต่างๆ ในการลงทุน การเปลี่ยนผ่าน รวมถึงการให้ความตระหนักรู้ถึงความสำคัญในการเปลี่ยนผ่านและความรู้ในการเปลี่ยนผ่าน ขณะที่ภาคเอกชนรายใหญ่เองก็ต้องช่วยดูแล Supply Chain ของตนเองให้สามารถเปลี่ยนผ่านได้เพื่อช่วยลดความเหลื่อมล้ำ และภาคประชาชนต้องตระหนักในเรื่องดังกล่าวเช่นกันโดยการปรับตัวพัฒนา skill ที่มีประโยชน์ในการเปลี่ยนผ่านต่อไป"
**WHA เร่งใช้พลังงานสะอาด สู่เป้าหมาย Net Zero ปี 2050 **
นางสาวจรีพร จารุกรสกุล ประธานคณะกรรมการบริหารและประธานเจ้าหน้าที่บริหารกลุ่ม บริษัท ดับบลิวเอชเอ คอร์ปอเรชั่นจำกัด (มหาชน) หรือ WHA กล่าวว่าWHA เราจะมอง 3 เรื่องคือgeopolitical tention ,Sustainabilityและ Tecnologyinflastructer เราจะมองเทรน เรานำมาปรับการลงทุนใน 3 เมกกะเทรนนี้ ต้องบอกก่อนว่าที่ผ่านมาโลกประสบปัญหามาก ทั้งอย่าง เรนบอมส์ต่าง ๆ และอีกมาย ซึ่งลูกค้าของ WHA เองก็ประสบมาหลากหลาย ปัจจุบัน WHA มีลูกค้าต่างชาติมากกว่า 85%
โดยหลายปีมานี้พบว่านักลงทุนที่เข้ามา จะถามหาพลังงานสะอาด 100 % ล่าสุดที่ บริษัทเซ็นกับกูเกิล และต้องการพลังงานสะอาด 100 % ทำให้บริษัทต้องใส่ใจกับพลังงานสะอาด 100 % และหาปรับเปลี่ยนการทำงานเพื่อตอบโจทย์ เพราะเราใช้น้ำมาก การปล่อยน้ำจากธรรมชาติมาก และปล่อยน้ำเสียมาก ดังนั้น WHA มีการใช้น้ำเยอะมาก เราไปเซี่ยงไฮ้เรามีลูกค้าเยอะมาก ก่อนจะเกิดสงครามการค้า เรามี 4 ธุรกิจหลัก ๆเพราะเรากระทบเต็มๆ ทำให้เราใส่ใจว่าจะปรับตัวอย่างไร ต้องลงทุนระบบสาธารณูปโภคของเรารองรับการย้ายฐานการลงทุน สัปดาห์ก่อน WHAไปออกบูธที่เซี่ยงไฮ้ พบว่านักลงทุนสนใจเข้ามากว่า 500 ราย โดยยุค ทรัม 2.1 มีการเคลื่อนย้ายฐานการลงทุนจากทั่วโลกและในรอบนี้ ทรัม 2.0 รอบนี้เตรียมรับ การเคลื่อนย้ายฐานการงลงทุนจากต่างประเทศ แต่รอบนี้คือ new economy
ดังนั้น ในส่วนของ WHA ได้ปรับเปลี่ยนการทำงานทุกสายธุรกิจ อย่างการสร้างศูนย์กระจายสินค้า เพื่อดึงนักลงทุนเพราะหากเราไม่ทำ เงินทุนจะไหลไปที่อื่น ส่วนในธุรกิจขนส่ง WHA ได้หันไปรุกการใช้ รถ EV เพื่อลดปริมาณคาร์บอน เพราะลูกค้าส่วนมากเป็น global หมดเลย และส่วนมากเป็นบริษัทขนส่งขนาดใหญ่ส่วนในไทยนั้นมีรถขนส่งกว่า 4 ล้านคัน ต้องมาคิดกันว่าจะช่วยให้ลดการใช้รถขนส่งให้เป็น ev ได้อย่างไรใน 3 ปีนี้ และไทยเราต้องทำให้ได้
“ เราจึงมองกรีน โลจีสติกส์ เพราะ เป็น end to end proces ตั้งบริษัทใหม่ขึ้นมรองรับและเพื่อช่วยเหลือผู้ประกอบการให้สามารถแข่งขันและลดต้นทุนการดำเนินงานได้ด้วย อีกกลุ่มคือนิคมอุตสาหกรรม ซึ่งในส่วนของเราจะไม่มีการปล่อยก๊าซคาร์บอน แต่ลูกค้าของเราในนิคมปล่อยเต็มๆเราจะทำอย่างไร ”
ที่มา : MgrOnline